Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
สภาวะธรรม 2557


หลังจากเรืองราวในวันวิสาขะจบสิ้น พระอาจารย์ใหญ่มาเข้าฝัน แล้วบอกว่าได้เวลาแล้ว ให้เปิดตาที่สามดูให้เห็นทั้งหมด จึงพบความจริงและสิ่งที่แอบแฝงอันไม่เป็นธรรม จึงถือเป็นโอกาสดี ที่ความเป็นปรปักษ์ต่อกัน ทำให้เราจะแยกออกจากกลุ่มโดยสิ้นเชิง เพื่อดำเนินธรรมขั้นต่อไป ด้วยการอยู่กับความบริสุทธิ์ และ เผชิญชะตากรรมโดยลำพัง กลับไปสำนึกที่จุดเริ่มต้นก่อนมาบวชพราหม ว่าสภาวะแตกต่างกันอย่างไร และมีอะไรเพิ่มเติมขึ้น

เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมทั้งมวล ในด้านปรัชญาการสร้างวัด ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของนักบวช(โดยใช้จริตมากล่าวอ้าง ซึ่งผู้ที่เข้าถึงความบริสุทธิ์จะทรงไว้ซึ้งการสำรวมกายวาจาใจและมีความสามารถแยกออกได้ระหว่าง จิต และ สิ่งตกค้าง อย่างเด่นชัด เสมือนฌาน4จิตแยกกาย)

อย่างไรก็ดี ถือเป็นโอกาสที่สมควรที่จะปิดฉากเรื่องราวนี้ไว้ก่อน หนทางข้างหน้ายังต้องดำเนินไปตามโชคชะตาที่ยากแสนเข็ญท้าทายต่อปัญญาแห่งเราอีกครั้ง แต่คราวนี้ เพียงลำพังและสันโดษ เริ่มด้วยการ ไม่ทานอาหารเกินจำเป็น เข้าสู่การเช่ในสภาวะบริสุทธิ์ ด้วยการทำให้กายหลับในสมาธิ ตาเปิด หูเปิด หัวใจเปิด (คืออาการผ่อนคลายนั่นเอง) ด้วย จิต คือ ความบริสุทธิ์ (ความบริสุทธิ์ = สะอาด + สงบ)
.... จากนั้นอะไรต่อหละ ???
วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2557 ขณะจะไปปั่นจักรยาน มีสิ่งดลใจให้ไปปั่นอีกที่ แล้วได้ไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นศาลาของหลวงปู่ เป็นการบอกให้รู้ว่า จากนี้ไป ให้เรียนรู้จากหลวงปู่โต พรหมรังสี

สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (ใฝ่ใจถูกต้อง) สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ (การกระทำถูกต้อง) สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ (ความพากเพียรถูกต้อง) สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จากมรรค8 แห่งพุทธศาสนา นำมาเป็นพื้นฐานเพื่อรวบรวมความเข้าใจใหม่ดังนี้
ทุกข์ รู้สึก นึกคิด อารมภ์ ... นำไปสู่ ทุกข์ สุข และความมีอยู่แห่งรู้สึก นึกคิด และ อารมภ์
ต้นเหตุ มาได้ 2 ทาง ทะยานอยากทางกาย--<กระตุ้น>--ทะยานอยากทางใจ หรือ ทะยานอยากที่ใจ
การกำจัด หยุดการสืบเนื่องของลูกโซ่ ที่ก่อให้เกิดห่วงใหม่ ของรู้สึก นึกคิด อารมภ์
วิริยะ ขยันบันทึกเข้าสู่จิตใต้สำนึก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
  1. สัมมาทิฏฐิ...มีแนวคิดหรือทัศนะคติที่เที่ยงตรง มองทะลุผ่าน ความไม่แท้จริง ออกไปได้
  2. สัมมาสัทธา...มีความเชื่อมั่น แต่ไม่ยึดติดตัวตน ในการก้าวออกจาก ความไม่แท้จริง หรือหันหลังให้ ความไม่แท้จริง

    2 สิ่งนี้จะ เป็นแรงบันดาลใจ หรือ แรงดลใจ ให้มีกำลังใจ เป็นกำลังผลักดัน ในการดำเนินไป
  3. สัมมาสันโดษ...รู้ขอบเขตการพึ่งตนเองเพียงลำพัง หรือดำรงไว้ซึ่งความพอดีกับตน เช่น การที่จะไม่เกี่ยวโยงเป็นทาส ต่อปัจจัย4 เกินพอดี การไม่โยงใยพึ่งพาสิ่งอื่นเกินพอดี
  4. สัมมาวาจา...สำรวมในวาจา เชื่อถือได้ในวาจา ถ้อยคำไพเราะ ใช้น้ำเสียงอันรื่นหู สนับสนุน ให้กำลังใจ รู้การห้ามปราม
  5. สัมมาปฏิปทา...สำรวมได้ในความประพฤติ กริยาท่าทางการแสดงออก มีท่วงท่าที่งามตา

  6. สัมมามิตรภาพ...ดำรงอยู่ในสังคมและสถานที่ ที่เหมาะสมกับตน หรือ กลุ่มบุคคลคู่บารมีที่เกื้อกูลกันได้ และคอยจุนเจือเอื้อเฟื้อซี่งกันและกันได้
  7. สัมมาความเป็นอยู่...สำรวมในปัจจัย4 รวมถึงการหามาได้ซึ่งปัจจัย4
  8. สัมมาวิสุทธิ...ดำรงอยู่ภายใต้ จิตมีสำนึก จิตตั้งมั่น และปัญญาที่เจิดจรัสแล้ว
    กล่าวคือมี สติ สมาธิ ปัญญา เพื่อคงไว้ซึ่งการแยกออกได้ แบ่งกองได้ซึ่ง สิ่งตกค้าง สิ่งเจือปน และดำรงได้ซึ่งความสงบกาย วาจา ใจ
เมื่อสภาวะสูงสุด จะต้องกลับคืนสู่ปกติ จะต้องสร้าง สัมมาอัตตา เพื่อดำรงอยู่ทั้งทางโลกและทางธรรม
ด้วยการมีความรู้ และความเห็นที่ว่า เมื่อจิตนั้นบริสุทธิ์จนเต็มเปี่ยมแล้ว จิตใต้สำนึกจะสามารถคงสภาพแยกแยะสิ่งตกค้างต่างๆได้ ขณะเดียวกันสภาพกายจะยังอยู่ใน การเป็นไปแห่งโชคชะตา วิบากแห่งกรรมก่อน และ เจ้ากรรมนายเวร ที่ยังวนเวียนห่อหุ้มอยู่ ตามธรรมชาติของเขา บุคคลจำเป็นต้องมีคู่บารมี เพื่อคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

มองทะลุผ่าน ความไม่แท้จริง, มั่นใจในความบริสุทธิ์ภายใน ปลดปล่อยให้แผ่กระจายออกไปทางหัวกระหม่อม
จิต มีองค์ประกอบมาจาก ชันธ์5 เมื่อแต่ละตัวในขันธ์5 ว่างเปล่า จะไม่มีการกระตุ้นการสั่นสะเทื่อนอนุภาคในจิต ทำให้จิตนั้นคงความเสถียร และทำให้บริสุทธิ์ บุคคลจะมีตัวตนอยู่ 2 อย่างคือ ตัวตนแห่งร่างกาย และตัวตนแห่งจิตใจ ซึ่งมีองค์ประกอบของขันธ์5 ทั้งคู่ ดังนั้แทบจะเปรียบได้ว่า บุคคล อาจมี 2 บุคคล ในคนคนเดียวกันเมื่อมองในแง่ของขันธ์5 โดยรวมแล้ว 2 บุคคลนี้จะใช้ทรัพยากรร่วมกัน ในการแสดงออกหรือปลดปล่อยมาทาง รู้สึก อารมภ์ นึกคิด ซี่งไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ เช่น

  1. รู้สึก อารมภ์ นึกคิด
  2. รู้สึก นึกคิด อารมภ์

  3. อารมภ์ รู้สึก นึกคิด
  4. อารมภ์ นึกคิด รู้สึก

  5. นึกคิด อารมภ์ รู้สึก
  6. นึกคิด รู้สึก อารมภ์
แกนของขันธ์5 ก็เหมื่อนแท่งประทีปเช่นกัน ที่สามารถแผ่แสงหรือจุดประกายหรือกระตุ้น แกนแห่งจิตใต้สำนึกหรือแกนแห่งความบริสุทธิ์ ก่อให้เกิด การรับรู้หรือรู้สึก อารมภ์ และนึกคิด เพื่อที่จะสนองต่อแรงกระตุ้นของแกนประทีปของขันธ์5 สิ่งมี 2 ทางคือ ตอบสนองแล้วตามมาด้วยผลสืบเนื่อง กับ ตอบสนองแล้วไม่มีผลสืบเนื่องตามมา ผลสืบเนื่องก็คือวิบากนั่นเอง

การตอบสนองข้างต้นใดๆ จะทำให้จิตนั้นสงบลง และกายนั้นมีสภาพความสุข(จากผลไฟฟ้าเคมี ในร่างกาย รวมถึงโฮโมน) ดังนั้นจะเป็นว่าในกรณี การฆ่าคนโดยผู้กระทำไม่มีความรู้หรือเรียนรู้ใดๆเลย จะกระทำไปโดยปราศจากบาปในใจ เพราะเข้าใจว่านี่คือวิถีแห่งการอยู่รอดของสัตว์ และได้สภาพจิตสงบกายเป็นสุขเช่นกัน แต่ที่ต่างกันคือ ผลสืบเนื่องจะมีตามมา(วิบากนั่นเอง)

TIP

อภิญญา คือ ความสามารถพิเศษบางประการ ที่มีที่กายก็ได้ ที่จิตก็ได้

อาการอย่างหนึ่งคือ อาการตึงที่หน้าผาก แล้วพระอาจารย์ใหญ่บอกให้มารวมไว้ระหว่างคิ้วแล้วมองออกไปหนึ่งช่วงแขน ความหมายก็คือ พยายามทำให้ลูกตาผ่อนคลาย ไม่ให้ภาวะอื่นใดรอบนอกมารบกวนการผ่อนคลายของลูกตา

ทำไม จิต จึงพยายามดิ้นรน ออกจากสภาวะหยุดนิ่ง นั่นเพราะ จิตยังไม่เสพผลของความสงบ ซึ่งมักเป็น ถีนะมิทธะ และ อุธัจจะกุกกัจจะ หรือ นิวรณ์5 ตัวใดตัวหนี้ง แก้ไขด้วยการ หานิวรณ์นั้นให้เจอ แล้ว เพ่งไปที่นิวรณ์นั้น หรือ ทำฌาน1 วิตก ไปที่นิวรณ์ตัวนั้นเลย การทำแบบนี้ทำได้เฉพาะ นิวรณ์ที่เกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น นิวรณ์ที่เกิดขึ้นที่กาย ถ้าหากไปเพ่งแบบนั้น อาจจะเพิ่มนิวรณ์ขึ้นในบางกรณี

สภาวะขั้นต่อไป จะทำการเข้าไปสู่ระดับจิตใต้สำนึก เพื่อให้เห็นและสัมผัสถึง แรงบันดาลใจ แรงจูงใจ แรงดลใจ ว่าต้นตอที่ก่อให้เกิดนั้น มีอะไรบ้าง มีอะไรบ้างเป็นสิ่งล่อใจ

จิตวิทยา-ทฤษฏีแรงจูงใจ-สิ่งล่อใจ:

  1. แรงจูงใจเกิดจาก การขาดสมดุลย์ทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะหรือฮอโมน หรือ สารเคมี ไฟ้ฟ้า ทำให้เกิดอารมภ์แปรปรวนต่างๆนานา เช่น ขาดความรัก กระหายหิว ฟุ้งซ่าน หดหู่ ท้อแท้ ง่วงขึ้เกียจ มองโลกในแง่ลบ เก็บกดไม่สามารถระบายออกได้ ยอมทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรทางศีลธรรมจรรยาเพื่อให้ได้มา
    การทำสมาธิจะทำให้ระบบภายในร่างกายเกิดสมดุลย์ กระบวนการแปรปรวนทางจิตจะสงบลง ในขณะที่สงบแล้วหากเติมเต็มความรู้ความจำในสภาวะนั้นพร้อมๆกัน จะเข้าไปฝังในจิตใต้สำนึก จะทำให้เกิดสภาพมั่นคงบริบูรณ์ (หรือ ทางพุทธเรียกว่า อุปจารสมาธินั่นเอง)

    เท่ากับว่า เป็นการเข้าไปทำให้สภาวะของร่างกายสมดุลย์นั่นเอง เป็นการดับแรงจูงใจ หรือ หยุดการกระตุ้นที่ทำให้ก่อให้เกิด นั่นเอง

  2. ตัวรางวัลจากภายในที่สำคัญตัวหนึ่งคือ ความรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ล่อใจนั่นเอง คือแสวงหาความถูกต้องเฉพาะตน ให้กับตนเอง

    จึงประกอบด้วย ตัวล่อ คือ สิ่งที่ถูกต้องเฉพาะตน
    การกระทำเพื่อดับแรงจูงใจ โดยการทำสภาวะร่างกายให้สมดุลย์ และ สะกดจิตใต้สำนึก ให้ฝังจำ สภาวะสมดุลย์นี้
    ดับการก่อเกิดของ กิเลส(ผลจากสภาวะไม่สมดุลย์) นำไปสู่ตัณหา (แรงทะยานอยาก)
    ณ ตรงนี้ พระพุทธเจ้าสอน เรื่องขันธ์5 ให้เข้าใจกลไกภายในของการเกิดจิต คือการรู้ รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด กล่าวคือ สิ่งเร้า(ผัสสะ)-กระตุ้น / บีบคั้น(เวทนา สัญญา สังขาร) - แรงจูงใจ (วิญญาน)
    เมื่อเข้าใจแล้ว ทำความเข้าใจนี้ ให้คล่องแคล่ว โดยการปฏิบัติพิจารณาบ่อยให้เคยชิน จำได้ในหลักการกระบวนแบบอัตโนมัติ แล้วนำไปใช้งานในชีวิตจริง ในการอ่านใจ อ่านพฤติกรรม ของผู้คน และ ให้คำปรึกษา ให้คำปลอบใจ ให้คำแนะนำต่อผู้คน ตามลักษณะและขนาดภาชนะของเขา

    สิ่งเร้า ในด้านเฉพาะของแรงดึงดูดหรือสดุดตา สดุดใจ นี้ ได้แก่ เสน่ห์ทางกาย เสน่ห์ทางอารมภ์ เสน่ห์ทางวาจา และเสน่ห์ทางใจ เช่น รูปงามต้องตา เป็นคนอารมภ์เยือกเย็น เป็นคนอารมภ์ดี เป็นคนขำขำชวนหัวเราะ เป็นคนพูดจาอ่อนหวานร่มรื่นหู เป็นคนพูดจาตลก(แต่มีสาระ ตลกแบบไม่มีสาระ ใช้ไม่ได้) เป็นคนมีจิตใจงดงามคอยแต่จะช่วยเหลือผู้อื่นยามตกระกำลำบาก(แต่ถ้าช่วยบ่อยๆ ไม่สำนึกหรือเห็นบุญคุณ ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ) เป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นผู้ทรงปัญญาและคุณธรรม อื่นๆ

    ปุถุชน ต้องการอยู่ 2 อย่าง คือ ที่พึ่ง และ ผู้เห็นอกเห็นใจ และแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เกื้อกูลพยุงซึ่งกันและกัน พยุงให้อีกฝ่ายฝ่ายเดียว และ อีกฝ่ายเห็นอีกฝ่ายเป็นถังขยะโยนทิ้งแล้วตัวใครตัวมัน

    จิต นั้น มีความต้องการ แรงจูงใจ อยู่เสมอ จิตจะทำการแสวงหา สิ่งล่อใจ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดแรงจูงใจ
    เพื่อ ก่อให้เกิดการกระตุ้น และ บีบคั้นบังคับให้ตอบสนอง ให้จงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรือง กุศลธรรม หรือ อกุศลธรรม
    ถึงกระนั้นก็ตาม ทางสายกลาง คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด คือ ไม่ด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป ก็จะไม่สุดโต่ง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยความเป็นธรรม และ กำลังในการมองทะลุผ่าน สิ่งปลอมๆ ที่เป็น สมมุติและอุปทาน เป็นอนัตตาทั้งสิ้น


    เมื่อได้สัมผัสความว่างเปล่า โล่งโปร่ง สะอาด บริสุทธิ์ และได้อยู่ในสภาวะนั้นแล้ว (ธาตุเกิดขึ้นแล้ว) ความคิดจะหมดสิ้นลง ด้วยตัวมันเอง แล้ว รู้สึก อารมภ์ นึกคิด จะรวมเป็นหนึ่ง ที่สภาวะแห่งนี้
    ดังนั้นโดยลำดับแล้ว สภาวะจะแบ่งเป็น 4 รูปแบบคือ เตรียมสภาพกายและจิตเข้าสู่ความสงบ - กายและจิตเข้าสู่ความสงบ - (กายและจิตเริ่มมั่นคง กายและจิตมั่นคง - เหลือแต่จิตสภาวะอย่างเดียว)

    เตรียมสภาพกายและจิตเข้าสู่ความสงบ - กายและจิตเข้าสู่ความสงบ
    การเต้นหัวใจ และ ปิติอันเกิดเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหัวใจคลายตัว --> บางครั้งนำไปสู่ปิติทั่วร่าง เพื่อการคลายกาย ก่อน จากนั้น ใจจึงคลายตาม และในทางกลับกันก็ทำได้เช่นเดียวกัน
    คลายกาย คลายใจ ---> ทำให้เกิดปิติ และ ก่อให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจคลาย ... วิธีนี้อาจจะยากกว่า
    ในขณะที่ กล้ามเนื้อหัวใจเริ่มคลาย จะมีอาการเหมือนพยายามจะเคลิ่มหลับ คือ สัมปชัญยะ พยายามจะสูญสิ้น ... การควบคุมตรงนี้ ได้จะทำให้ เกิดความมั่นคงจนเคยชิน
    ในขณะที่ เกิดสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวนี้ คล้ายๆกับว่า เรืองทุกข์ร้อนใจ เรืองหนักใจ ยุติลง หรือจบลง จะมีความเบาใจ อะไรทำนองนั้น แต่กลไกนี่สิ ใกล้เคียงกับตำแหน่งกล้ามเนื้อหัวใจมาก ถ้าหาตรงนี้เจอ ตำแหน่งนั้นแหละ คือ ตำแหน่งจิต ... ยังคงต้องหาให้เจอ !!!

    ณ ตรงนี้ เราค้นพบว่า คำว่า สันโดษ = ความพอเพียง ในสิ่งที่ได้รับกับตนเองเพียงลำพัง ไม่สามารถแบ่งปันให้ผู้อื่น หรือ ถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ได้ แต่หากแบ่งปัน หรือ ถ่ายทอดให้ไป จะเกิดความหลงใหล ในความรู้และตัวบุคคล ขึ้นได้โดยง่าย ศรัทธาและเสน่หา เกิดขึ้น ณ ตรงนี้เช่นเดียวกัน เหมือนดาบสองคม

    เปรียบเทียบการกระทบสองแบบ ลมกระทบใบไม้ กับ ลมกระทบร่างกาย อย่างแรกเป็นสัจธรรมเสมอ อย่างที่สอง มีขันธ์5 ปรุงแต่งเสมอ ... ทำไมเป็นเช่นนั้น??? เพราะกลไกนี้ เกิดขึ้นในสัตว์เท่านั้น ที่จะมีการปรุงแต่งและอารมภ์ออกไป

    ทุกอณูยอมรับความสงบ ไม่ต่อต้าน ... ความเศร้าหมอง ก่อเกิด วิตก (สิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมองต่างๆ นี่แหละ คือสิ่งเจือปน บ้างก็เรียกว่า กิเลส บ้างก็เรียกว่านิวรณื รวมๆคือ สิ่งที่ทำให้อารมภ์เศร้าหมองนั่นเอง )... มันเหมือนอีควอไลเซอร์ หรือ คลื่นในหลากหลายความถี่ ที่คลื่นหนึ่ง จะบดบังคลื่นอื่นๆ เมื่อถึงระดับ Threshold ระดับหนึ่ง


คำสอนหลวงปู่โต พรหมรังสี

บุคคลที่ควบคบหา (หน้า85)

คบหาเฉพาะบุคคลที่มีจิตเป็นสมาธิมั่นคง คลายจากความยึดมั่นถือตน พูดแต่สิ่งดี ทำแต่สิ่งดี เมื่อคบหาด้วย มีแต่ช่วยชักจูงน้อมไปในทางที่ดี ให้จิตสงบ เกิดสมาธิเร็วและดีชึ้นตามลำดับ
บางที่เรียกคนเหล่านี้ว่า มองในแง่บวก (แต่ไม่ใช่แบบ มายาเสแสร้ง หรือ ดัดจริต)

หลีกเลี่ยงคบหาบุคคลที่มีจิตใจ โลเล ไม่เป็นสมาธิ ชอบคุยฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ กลาวนินทา ใส่ร้าย อาฆาตผู้อื่น ซ้ำยังเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วย การยึดมั่นถือมั่น หลงยกตนข่มท่าน เมื่อคบแล้วจะทำให้จิตใจเสื่อมทราม ตกตำ เสียสมาธิ
บางทีเรียกคนเหล่านี้ว่า มองโลกในแง่ลบ



จำได้ถึง ครั้งนึง เคย มีสภาวะ คิดไปถึง หลังตาย ไปก็ไม่มีอะไร แล้วอยู่ๆไป แบบนี้ จะรำพึงถึงทุกข์ ก็เปล่าประโยชน์ ยิ้มให้กัน ให้ความสุขแก่กันดีกว่า ให้ความปรารถนาที่ดีแก่กัน ดีกว่า

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่กระทบกลับมา กลับเป็นตรงกันข้าม จากผู้คน พอ มากๆเข้า นานๆ เข้า สภาวะ นั้นสูญสิ้น แถมโดนเจือปน ด้วยความดำมืดปกคลุมมาอีก
เนื่องมาจากว่า รูปกายของเรานั้น ไม่เป็นที่ต้องตา ต้องใจ ต่อผู้คน บวกทั้งศักยภาพด้านฐานะ ไม่เป็นที่ดึงดูด จึงเกิดแรงต้านทันที จากรูปกายภายนอก
แม้เมื่อปฏิบัติธรรม อยู่ในหมู่คนปฏิบัติธรรม ก็ได้ การสะท้อนกลับแบบนี้ เช่นกัน

เพราะคนพวกนี้ยังมีกิเลส คลุมอยู่ จึงต้องเฟ้นหาบุคคล ที่เข้าถึงขั้นอริยะที่แท้จริง ที่สามารถเห็นภายในจิตอันสว่างไสวของเราได้

โดยรวม พระพุทธเจ้า ได้ชี้แนะ
  1. การทำจิตใจ ให้บริสุทธิ์ ด้วยสภาพความนิ่งสงบทางกาย และ ทางใจ ด้วยการรู้จัก กลไกธรรมชาติ ในลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า ขันธ์5 ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติ ในการรับรู้สิ่งต่างๆ และตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ออกมาทางอารมภ์ ทางการกระทำ (กาย วาจา นึกคิด) ภายใต้แรงขับดัน จาก สมมุติและอุปาทาน ความทะยานอยาก สืบมาจาก การปรุงแต่งจากการนึกคิด โดยมีรากฐานมาจาก กิเลส10 อุปกิเลส16 ความสามารถที่จะทำให้อยู่ในสภาพความสงบนี้ได้ ต้องปราศจากสิ่งพะวงรบกวนต่างๆ ซึ่งมักมาจาก ใจเป็นกุศลทานไม่ถ่องแท้ และ ศึลในใจยังขาดตกบกพร่องอยู่ คือไม่ได้กระทำเพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ด้วยความรักความเมตตากรุณาปรานีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่างงดงาม แต่กระทำไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝง อันไม่สมควรแก่ฐานะ และ กาละเทศะ

    เมื่อกายและใจ สามารถนิ่งสงบได้ตามข้างต้นแล้ว การหยั่งรู้แห่งจิต ถึงจะสามารถกระทำได้ ในการเข้าไปรู้เห็นกระบวนการต่างๆ ข้างต้น

  2. จากนั้นเมื่อทุกอย่างนิ่งสงบและบริสุทธิ์แล้ว จะเป็นการง่ายในการสะกดจิตและปลูกฝัง ความเป็นอนัตตาให้กับ จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการยากมากในการเข้าถึงและจะปลูกฝังจิตใต้สำนึกได้ในการทำเพียงครั้งหรือสองครั้ง ต้องใช้การทำบ่อยๆ จนกระทั่งเป็น กลไกอัตโนมัติไปเลย ซึ่งต้องอาศัย ความมั่นคงแห่งสติในสภาวะจิตแยกกาย

    นอกจาก การเข้าไปในฌานแล้วทำวิปัสสนา แล้ว อีกทาง สามารถอาศัย ความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิต ในสภาพแวดล้อม อันสงบ ภายใต้ศีล 227 ข้อ ซึ่งเป็นการ ล้อมรั้วจิต ด้วยกฏระเบียบที่เคร่งครัดทางจิต (ไม่ใช่ทางสมอง แบบว่า หมกมุ่นอยู่กับกฏระเบียบ แบบนี้ จะทำให้บ้าและคลั่ง) ให้ดำเนินไปเป็นปกติ เป็นธรรมชาติ ข้อนี้สำหรับผู้ที่กำลังปัญญา น้อย เหมาะสำหรับผู้ที่แก่กล้าในศรัทธา และ อ่อนด้อยในกำลังปัญญา
    ศรัทธา สติปัญญาระดับจิตใต้สำนึก
    อยู่ภายใต้กรอบ ใช้ชีวิตแบบนั้นไปเลย เพื่อปลูกฝังจิตใต้สำนึก-->ก่อให้มีสติด้อยมาก
    น้อยสติ <--ก่อให้มีเข้าฌาน4 เพื่อทำวิปัสสนา สะกดเข้าสู่จิตใต้สำนึก
    สมดุลย์เพียงมีสติ ความรู้ต่างๆจะฝังจำเข้าจิตใต้สำนึกเองสมดุลย์

  3. เมื่อทั้งสองพร้อมบริบูรณ์แล้วนั้น ก็เป็นการยากยิ่ง ที่บอกได้ว่า จิตนั้นปราศจากสิ่งเจือปน ทั้งสิ้นทั้งปวง หรือยัง? จึงควรปล่อยไปให้เป็นไปตามสภาวะธรรมชาติ ไม่ไปผลักดันจนเป็น ภาวะตัณหา และ วิภาวะตัณหา คือหลงใหลในนิพพาน ไขว่คว้าหาแต่นิพพานด้วยความกระหายอยาก ยึดติดความวิสุทธิจากผู้อื่น บิดเบือนชะตาชีวิตแห่งขันธ์ จนเป็นการกระทำสุดโต่งโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นความโง่ เกินจำเป็นไร้ประโยชน์ไป เช่นบวชภายใต้สถานะป่วยเรื้อรัง ไม่มีปัจจัยเพียงพอสำหรับของใช้ส่วนตัว อื่นๆ
    แต่ในขณะเดียวกัน ณ สภาวะที่ทั้งสองบริบูรณ์ จะเกิด การสำรวมครบถ้วนจากสติที่คงเส้นคงวาอยู่ตลอดเวลา
จะเห็นว่า จิตใต้สำนึก เข้าได้สองทาง คือ การปลูกฝังด้วยปัญญาในเรื่องกลไกธรรมชาติของ กลไกการเกิดขึ้นของอารมภ์ และ กลไกในการดับอารมภ์ต่างๆ(ปัญญาวิมุตติ) และการปลูกฝังด้วยอารมภ์สงบว่างเปล่าและเยือกเย็น (เจโตวิมุตติ)

สิ่งที่พระสารีบุตรได้เคยกล่าวโดยย่อไว้จึงสมบูรณ์บริบูรณ์อย่างที่สุด อันเป็นสรุปย่อใจความไว้จากข้างต้น

"มีสติตั้งมั่น รู้เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับแห่งอกุศลธรรมทั้งปวง

เมื่อ ละ ความยินดี ความยินร้าย ได้ เสวยเวทนาก็ไม่ชื่นชม-ยึดถือเวทนา-ความพอใจ ความยึดมั่นถือมั่น จึงดับไป

เป็นเหตุให้ดับภพ ดับชาติ โดยลำดับ จนถึง ดับความคับแค้นใจ นี่เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวง "

ทุกขังอนิจจังอนัตตา
ความหนักหน่วงการทับถมเพิ่มพูนการสลาย เหลือแต่ว่างเปล่า
ธรรมชาติอันปราณีต นำพา จางคลาย-ดับ-สลัดคืน อุทะปาทิทั้งปวง กลับคืนสู่สภาพเดิมสภาพปกติ
วิเวก สงัด จางคลาย ดับ สลัดคืน อุทะปาทิทั้งปวง

สภาวะ --> ความครอบงำ --> ห้วงอารมภ์ (สะอาด หรือ ไม่สะอาด) .... สะอาด จะอยู่ได้เมื่อ สมมุติอุปาทาน หยุดนิ่ง ไม่เกาะเกี่ยว ยึดถือ เช่น ความนึกคิดต่างๆ ที่ทำให้เกิด ความหลงตัว หลงในความเลิศเลอ การจมอยู่ในความมัวหมอง หมองเศร้า กระบวนการเหล่านี้ หยุดที่นึกคิด อย่างเดียว เทียบเคียงกับวิธีการหลุดพ้น
ข่มไว้ดับเองตัดขาด
หรือ แยกออก เหมือนน้ำกับน้ำมัน
สงบสลัดคืน
ฌาน 4 โยนิโสมนสิการโลกุตตรมรรคปัฐสัทธิสลัดคืน

เสพที่นั่งอันสงัด สู่โคนไม้ สู่ธรรมชาติสภาพแวดล้อม อากาศ อุณหภูมิ พอเหมาะ
ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีตให้ได้ยิน และฟัง เสียงแห่งความสงบ
สงบระงับ การปรุงแต่งทางกาย ทางใจหยุดนึกคิด หยุดฟุ้งซ่าน
เห็นการจางคลาย การดับ การสลัดคืนกลับสู่สภาพปกติ ดั้งเดิมของกายและใจ คือไม่มีอะไรกระตุ้นเลย อยู่เฉยๆ ทุกๆส่วน
เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาในการเข้าถึงสัจจะธรรมแห่งการตั้งขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ และชำแรกกิเลสนั้นๆ จนดับไป
เจริญธรรม 4 ประการดังนี้ยิ่งๆขึ้นไป
  1. เจริญอะสุภะเพื่อละราคะ
  2. เจริญเมตตาเพื่อละพะยาบาท
  3. เจริญอานาปานะสติเพื่อตัดวิตก
  4. เจริญอะนิดจะสัญญา เพื่อถอนการยึดตัวตน
    เมื่อเจริญอะนิดจะสัญญาแล้ว อะนัตตะสัญญาย่อมมั่นคง
มีสัมมาทิฏฐิ ไม่คิดว่าเป็นความเลิศเลอ แต่เป็นเพียงความปกติทั่วไป ที่สภาวะนี้พึงมีในตัวทุกคน
กิเลสเครื่องยั่วยวนอาหารของอารมภ์

สมมุติและอุปาทาน เกิดขึ้นเสมอ เมื่อภายในมีการเคลื่อนไหว หรือ มีการไม่คงที่ ของจิต หรือ จังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่คงที่ราบเรียบ
เวทนา --- ความต้องการ --- สมมุติและอุปาทาน ... ... เป็นกระบวนการเกิดขึ้นร่วมกันเสมอ ... ... แม้ความคงที่ หยุดนิ่ง ก็ยังคงเป็นสมมุติและอุปาทาน
อารมภ์(หรืออะไรก็ได้ในขันธ์5) --- ความกระหายอยาก --- สิ่งที่ตั้งไว้ในใจ

เวทนา ---> ถีนะ (ความเบื่อหน่าย) ---> เป็นทางออก ... เมื่อจิตเจอทางออกตรงนี้ มันจะแจ่ม บรรเจิด เปิดทะลวงม่านฟ้า แห่งจิต

สมมุติอุปาทานทางธรรมชาติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่สมมุติอุปาทานที่ใจและนึกคิด ไม่จำเป็นต้องตามอยู่ตลอดเวลา

โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค,หีโน, คัมโม, โปถุชชะนิโก, อะนะริโย, อะนัตถะสัญหิโต,
ไม่ควรเสพ, ไม่ควรพัวพัน กามะ คือสิ่งยั่วยวน เพลิดเพลินจนคิดเป็นสุข อันเกินจำเป็น
เป็นความมัวหมอง เป็นเหตุให้ตั้งอาณาบริเวณซึ่งแวดล้อมด้วยหมู่คนสังคมก่อให้เกิดความเป็นไปต่างๆนานาเต็มไปด้วยวุ่นวายสับสน ตามสภาวะแบบคนทั่วไป อันเป็น ปรปักษ์ต่อความสงบ และ เปล่าประโยชน์

โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค,ทุกโข,อะนะริโย,อะนัตถะสัญหิโต,
อีกทั้ง ทำตนพัวพัน ยึดตน ยึดสิ่งมัวหมอง อันเกินจำเป็น ให้เกิดความหนักหน่วงความอึดอัด ที่อกที่ใจ อันเป็นปรปักษ์ต่อความสงบ และ เปล่าประโยชน์
เอ เต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา,ตะถาคะเตนะ อภิสัมพุทธา,
อันเรานี้ ได้รู้ ความถูกต้องด้วยความเหมาะสมและเป็นจริงอันใหญ่หลวง ถึงการประพฤติปฏิบัติ อย่างเป็นกลางๆ อันซึ่งความพอดี
จักขุกะระณี ญาณะกะระณี,อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ,
เกิดการมองเห็นด้วยจิตระดับลึก หยั่งรู้ด้วยจิตภายในระดับลึก เข้าไปถึงความถูกต้องที่เกิดขึ้นภายใน จนหยั่งรู้ยิ่งในจิตระดับลึก ความรู้แตกฉานมากมายดุจดั่งต้นโพธิ์กิ่งก้านใบโพธิ์ จนบรรลุเสร็จสิ้นเป้าหมายทั้งปวงแห่งการแสวงหาของเรา ให้เป็นไปเช่นนี้
กะตะมา จะ สาภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา,
เราจะกล่าวอธิบาย การประพฤติปฏิบัติ อันเป็นความพอดีพอเหมาะ อันเป็นแนวทางกลางๆ ให้พวกเธอฟัง
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค,เสยยะถีทัง,
ซึ่งก็คือ แนวทางนำไปสุ่ความศิวิไลหรือความเจริญแล้ว 8 ประการ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันโต, สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม, สัมมาสะติ, สัมมาสะมาธิ,
ก็คือ มีความเป็นสัมมา 8 ประการให้เป็นไปอย่างถูกต้องด้วยความเหมาะสม มีความคิดเห็นที่ถูกต้องมองทะลุข้ามความมัวหมองทั้งปวง กระตุ้นตัวเองให้ดำเนินและลงมือประพฤติปฏิบัติไปตามความถูกต้อง พูดจาเจรจาไปในทางที่ดีที่เหมาะที่ควรส่งเสริมให้จิตใดๆได้รับความสงบ กระทำการงานให้ได้มาซึ่งความสงบภายใน ดำรงตนดำรงชีพให้อยู่ในฐานแห่งความสงบไม่แกว่งไกว มีความขยันหมั่นเพียรในการประพฤติปฏิบัติไม่ย่อท้อในการดำรงอยู่ในความสงบ รักษาสติแบ่งแยกสภาพหนักหน่วงภายนอกและสภาพเสถียรคงที่ภายในตลอดเวลา มีใจจดจ่อหรือรู้อยู่ตลอดเวลา
http://ampolc.ucoz.com/index/0-77 ตีความหมายทั้งหมด


การปฏิบัติธรรม การกระทำกุศลธรรม เป็นความหนักหน่วงระดับหนึ่ง ที่การกระทำสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลานั้น กลายเป็นภาระกิจหลัก ซึ่งเมื่อวันนึง จะตายแล้ว ภาระกิจเหล่านี้ได้ปลดเปลื้องลง เป็นอันหมดภาระ จะเกิดความเบาสบายในจิต โปร่งโล่ง และสิ่งที่คุ้นเคยหลังจากนั้น จะนำพาภาวะจิต ไปสู่สิ่งที่เคยคุ้นเคย ซึ่งก็คือ ความโปร่งโล่งไม่เกาะติด นี้เอง

ระหว่างนั้นการดำเนินไปของชีวิต ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะยังคงเป็นไปตามชะตากรรมและโชคชะตา ที่โยงใยอยู่กับขันธ์ นี่คือ วิถีชีวิต ที่อริยะบุคคล ยังคงเลือกที่จะเดิน เลือกที่จะเป็นไปแบบนั้น ตามสัญชาตญานเดิมที่มีอยู่ในขันธ์ อยู่ดี!!! หลีกไม่พ้น หลบไม่พ้น ....มีเพียงจิตเท่านั้น ที่ไม่กระทบโดน แต่เพียงสมมุติไปว่า กายนั้นรับ จิตไม่ได้รับ!!! เพราะยังไงเสีย ต้นคือต้น ปลายคือปลาย

แต่อย่างไรก็ดี จิตใจที่สบายๆ จะนำพาให้ ร่างกายบริบูรณ์ นี่คือข้อดีอันดับแรกที่ปรากฏให้เห็น จากความเกษมของโยคะ การเฟ้นหาสัจธรรม ของแหล่งที่มาของจิต และที่ที่จะไปของจิต เป็นวิจิกิจฉาเบื้องต้น และ ท้ายสุด ยังคงดำเนินต่อไป ... สังเกตว่า ที่ใดมี การเคลื่อนไหว ที่นั่นมีจิต แม้แต่ความว่างยังมีจิต ... จิตปรากฏมาให้เห็นชัดใน model ของ รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด หลังจากผ่านขบวนการชันธ์5 มาตั้งแต่ภพแรกจนถึงภพสุดท้ายของกระบวนการนั้นๆ สิ่งที่ต่อภพสืบเนื่อง มักมาจากการนึกคิด ซึ่งเป็นการต่อภพแบบไม่เป็นไปตามธรรมชาติมีการฝืนการไหลตาม แล้วแต่เจตจำนงให้เป็นไปตามความมุ่งหมาย (แต่ รู้สึก-อารมภ์ ก็ต่อภพด้วยตัวมันเองได้ แต่เป็นไปในลักษณะ ธรรมชาติปกติ) การดับนึกคิดหรือหยุดนึกคิด จึงเป็นสิ่งที่หยุดกระบวนการอันไม่เป็นไปตามธรรมชาติในเบื้องต้น การดับความรู้สึกเกิดขึ้นได้ในฌาน4 ที่สมบูรณ์เป็นต้นไป แต่การดับอารมภ์นั้น ไม่ว่าฌานระดับใด ไม่สามารถกระทำได้ จะมีได้เพียงแค่อารมภ์ว่างๆเฉยๆถึงแม้จะรับรู้ หรือไม่รับรู้ก็ตาม ตราบเท่าที่ขันธ์นี้ยังดำรงอยู่

ภูมิ ๔ พึงทราบว่า ได้แก่ฌาน ๔ สมดังคำที่พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้ว่า ภูมิ ๔ ของฤทธิ์เป็นไฉน ? คือ ปฐมฌาน จัดเป็นวิเวกชภูมิ (ภูมิอันเกิดแต่วิเวก) ทุติยฌาน จัดเป็นปีติสุขภูมิ (ภูมิอันเกิดแต่ปีติและสุข) ตติยฌาน จัดเป็นอุเปกขาสุขภูมิ (ภูมิอันเกิดแต่อุเบกขาและสุข) จตุตถฌาน จัดเป็น อทุกขมสุขภูมิ (ภูมิอันมีสภาวะไม่มีทุกข์และไม่มีสุข) เหล่านี้เป็นภูมิ ๔ ของฤทธิ์ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ฤทธิ์ เพื่อบรรลุถึงฤทธิ์ เพื่อทำการแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง เพื่อได้รับอานิสงส์ต่าง ๆ แห่งฤทธิ์ เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญทางฤทธิ์ และเพื่อความแกล้วกล้าทางฤทธิ์ ดังนี้ ก็เพราะพระโยคีหยั่งลง สู่สุขสัญญาและลหุสัญญา ด้วยความซาบซ่านแห่งปีติและด้วยความซาบซ่านแห่งสุข แล้วเป็นผู้มีกายอ่อนนุ่มนวล เหมาะควรแก่การงาน ย่อมถึงซึ่งฤทธิ์ ฉะนั้น ในบรรดาฌานเหล่านั้น ฌาน ๓ ตอนต้นพึงทราบว่าเป็นภูมิสำหรับปรุง เพราะเป็นไปเพื่อได้ฤทธิ์โดยบรรยายมานี้ แต่ฝ่ายฌานที่ ๔ เป็นภูมิปกติ เพื่อได้ฤทธิ์ทีเดียว
อ้างอิง วิสุทธิมรรค เล่ม ๒ ภาคสมาธิ ปริเฉทที่ ๑๒ อิทธิวิธนิเทศ หน้าที่ ๒๕๑ - ต่อหน้า 2

18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz