Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
พลังเก้าเอี๊ยง
หายใจพิชิตโรค ด้วยพลังเก้าเอี๊ยง

เมื่อเชื้อโรคชนิดใดก็ตามเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะเพิ่มการสันดาปอาหารมากขึ้น เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย เชื้อโรคซึ่งปกติจะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิของร่างกายจะปรับตัวไม่ทัน และตายหมดในที่สุด กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ ๒ ถึง ๓ วัน เรียกว่าอาการไข้ อาการไข้นี้ เป็นอาการปกติที่ร่างกายปรับตัวเองโดยธรรมชาติในทุกครั้งที่ถูกเชื้อโรคจู่โจม สำหรับผู้ฝึกจิตควบคุมร่างกายจนชำนาญแล้ว สามารถควบคุมกระบวนการสันดาป หรือที่เรียกกันว่า Metabolism นี้ได้ด้วยการ “หายใจ” เนื่องจากกระบวนการหายใจ เป็นกระบวนการที่เราควบคุมได้ ให้มากก็ได้, น้อยก็ได้, ยาวก็ได้, สั้นก็ได้, ลึกก็ได้, ตื้นก็ได้ การฝึกหายใจโดยการควบคุมด้วยจิตทุกขณะเรียกว่า “อาณาปานสติ” นั่นเอง เมื่อหายใจได้ออกซิเจนมากขึ้นและทั่วถึงทุกเซล พลังงานจากการสันดาปจะเพิ่มขึ้นมาก คงไม่ต้องยกสมการทางการแพทย์มาอธิบายเนื่องจากจะยากเกินไปที่จะเข้าใจกันในวงกว้าง

ตามประวัติในพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้พระอานนท์นำไปบอกแก่คิริมานนท์ พระโพธิสัตว์ที่ป่วยหนักและไม่สามารถเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ได้ เมื่อท่านคิริมานนท์ได้ฟังพระสูตรนั้นแล้ว ก็หายจากอาการป่วย ในพระสูตรนั้นได้บรรจุสิ่งที่เรียกว่า “สัญญาสิบ” ซึ่งหนึ่งในสัญญาสิบก็คือ “อานาปานสติสัญญา” สำหรับพระสูตรนี้ เท่าที่ได้แปลและเรียบเรียงไว้นั้นแตกต่างจากที่ได้รับการบันทึกไว้ในบทสวดมนต์ของทางเถรวาท ในหนังสือสวดมนต์ของเถรวาทได้กล่าวถึงคิริมานนทสูตรไว้ ครบสัญญาสิบประการ แต่ในฉบับแปลและสังคายนาใหม่ ไม่ได้มีไว้ นี่คือ หลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าคือเจ้าของวิชชานี้ และวิชชานี้ มีประโยชน์มากในการรักษาโรค

ตามประวัติ “พลังเก้าเอี๊ยง” ของประเทศจีนนั้น สืบได้มาจากท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ผู้เป็นภิกษุชาวอินเดียแต่เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ประเทศจีน ในยุคนั้นมีผู้คนที่ไร้จริยธรรมคุณธรรมมาก ตัดสินถูกผิดกันที่การต่อสู้เอาชนะกัน ท่านจึงได้รับแรงต้านทานมาก ในที่สุด วันหนึ่งก็ได้อ่านพระสูตรหนึ่ง ในพระสูตรนั้นมีอักษรเขียนแทรกไว้ และเป็นที่มาของการฝึก “เก้าเอี๊ยง” จากนั้นมา พระสงฆ์วัดเส้าหลินสายของท่านตั๊กม้อ จะได้รับการสอนให้ฝึกพลังเก้าเอี๊ยงเป็นพื้นฐานในการเดินลมปราณที่สำคัญที่สุดอันหนึ่ง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พลังเก้าเอี๊ยง ก็คือ “อานาปานสติสัญญา” ในคิริมานนทสูตร ที่มีจุดกำเนิดจากคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงถ่ายทอดแก่พระอานนท์และท่านคิริมานนท์ให้พ้นจากอาการอาพาธได้โดยไม่ใช้โอสถตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล นั่นเอง

ในทางการแพทย์ เราได้พิสูจน์แล้วพบว่าการออกกำลังกายช่วยรักษาโรคได้ โดยเฉพาะการออกกำลังกายโดยใช้ออกซิเจนเต็มที่ เช่น การเต้นแอโรบิก เพื่อฝึกการออกกำลังกายโดยใช้ออกซิเจนนั้น เราต้องเต้นเร็วเกินไป และอาจทำให้เซลหายใจไม่ทัน ทำให้เกิดกรดแลกติกอันเป็นผลจากการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนมากขึ้น สังเกตได้ว่าผู้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกจะหนีไม่พ้นอาการปวดเมื่อยร่างกายหลังออกกำลังกาย นั่นแสดงว่าเซลมีการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้มีกรดแลกติกค้างในกล้ามเนื้อจนเกิดความปวดเมื่อย สำหรับการหายใจแบบใช้ออกซิเจนเต็มที่นี้เราไม่จำเป็นต้องเต้นเลย เพียงแค่ฝึกหายใจให้ถูกวิธีก็สามารถทำให้เกิดพลังงานจากการสันดาปอาหารในเซลได้มากขึ้น จากจำนวนอาหารที่เท่ากันและปริมาณลมหายใจเข้าออกที่เท่ากัน ดังนั้น การหายใจให้ถูกวิธีจึงได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเสียอีก ในสมัยก่อนพุทธกาล โยคีในแถบชมพูทวีปต่างฝึกการหายใจแบบนี้ และสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน และยังไม่ต้องบริโภคอาหารเป็นเวลานานได้ด้วย สิ่งเหล่านี้ ล้วนอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้งสิ้น กล่าวคือ ปริมาณอาหารที่ถูกเผาผลาญน้อย แต่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการหายใจแบบใช้ออกซิเจนเต็มที่ และการฝึกการลดการใช้พลังงานในร่างกาย โดยใช้จิตควบคุมการทำงานของเซลให้ลดลง เหมือนกับสัตว์ที่เข้าสู่ช่วงฤดูขาดแคลนอาหารและต้องจำศีล สิ่งเหล่านี้มาจากธรรมชาติ และโยคีก็ฝึกตามธรรมชาติเท่านั้นเอง

วิธีฝึกอานาปานสติสัญญา หรือ พลังเก้าเอี๊ยง

หายใจเข้ายาวลึกสุดท้อง แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวและผ่อนคลาย โดยระลึกว่ามีไฟหรือความร้อนรวมตัวที่ท้องน้อย รวบรวมพลังงานความร้อนที่เกิดจากการสันดาปของเซลทั่วร่าง กำหนดด้วยจิตให้มารวมตัวกันที่ท้องน้อย แล้วจึงค่อยๆ กำหนดด้วยจิตว่ามีพลังคลื่นความร้อนนี้ไหวเวียนไปส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อใช้พลังธาตุไฟที่เกิดจากการสันดาปอาหารนี้ เผาผลาญทำลายเชื้อโรคต่างๆ ให้หมดสิ้นไป การฝึกแบบนี้ ควรทำในตอนเช้าที่มีอากาศเย็น หรือในช่วงฤดูหนาว เพราะหากฝึกในที่ร้อนมากๆ ก็อาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปและเจ็บป่วยได้เหมือนกัน และการหายใจควรทำอย่างช้าๆ อย่าใช้วิธีการหายใจแบบสั้นๆ เร็วๆ เพื่อให้เกิดการเผาผลาญของพลังงานในแต่ละเซลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การหายใจจะเกิดเป็นการหายใจแบบใช้ออกซิเจน ไม่ใช่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน ทั้งหมดนี้ ใช้จิตควบคุม จึงต้องมีสติกำกับในขณะทำด้วย

การใช้พลังเก้าเอี๊ยงเพื่อเพิ่มพลังงานแทนอาหาร

โยคีโบราณฝึกหายใจอย่างชำนาญแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยการไม่กินอาหารเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในฤดูขาดแคลนอาหาร โยคีสามารถหายใจให้ใช้อาหารน้อยๆ ได้ ด้วยการใช้หลักการหายใจตรงกันข้ามกับที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยการกำหนดลมหายใจให้แผ่วเบาเชื่องช้า เพื่อลดปริมาณการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุดด้วยการนั่งหรือนอนสมาธิ ก็จะลดความร้อนและการบริโภคอาหารลงได้

การใช้พลังเก้าเอี๊ยงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นแทนเสื้อผ้า

โยคีโบราณฝึกหายใจอย่างชำนาญแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ในฤดูหนาว โยคีสามารถหายใจให้หายหนาวได้ ด้วยการใช้หลักการหายใจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วกำหนดด้วยจิตให้พลังเก้าเอี๊ยงไหลเวียนไปทั่วร่างกาย

การใช้พลังเก้าเอี๊ยงเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานแทนยารักษาโรค

โยคีโบราณฝึกหายใจอย่างชำนาญแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยยารักษาโรค ในยามเปลี่ยนฤดูเชื้อโรคเพิ่มจำนวนและจู่โจมร่างกาย โยคีสามารถหายใจให้หายโรคได้ ด้วยการใช้หลักการหายใจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วกำหนดด้วยจิตให้พลังเก้าเอี๊ยงไหลเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อเผาผลาญเชื้อโรคให้ตายและหายจากโรคไปในที่สุด นอกจากนี้พลังเก้าเอี๊ยงยังช่วยขับถ่ายของเสียได้เร็วขึ้น ทำให้หายโรคได้เร็วขึ้นอีกด้วย

การใช้พลังเก้าเอี๊ยงเพื่อป้องกันตัวแทนที่อยู่อาศัย

โยคีโบราณฝึกหายใจอย่างชำนาญแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยที่อยู่อาศัย ในฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์ สัตว์จะต่อสู้กันเพื่อแย่งกันสืบพันธุ์ สัตว์จำนวนหนึ่งจะอาศัยที่มุงบังเพื่อสืบพันธุ์ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ โยคีสามารถหายใจให้พึ่งพาตนเองไม่ต้องอาศัยที่ในอยู่อาศัยได้ ด้วยการใช้หลักการหายใจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วกำหนดด้วยจิตให้พลังเก้าเอี๊ยงไหลเวียนไปสู่ปลายฝ่ามือ เพื่อใช้พลังงานนี้ในการป้องกันตัวเอง จากศัตรูที่มาจากทุกที่ โดยไม่ต้องอาศัยการมุงบังจากที่อยู่เพื่อป้องกันตัวเองจากข้าศึกศัตรูใดๆ

การใช้พลังเก้าเอี๊ยงเพื่ออายุยืนยาวกว่าอายุขัยปกติและพ้นจากความแก่ชรา

โยคีโบราณฝึกหายใจอย่างชำนาญแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวและมีใบหน้าที่อ่อนกว่าวัย ในทุกฤดู โยคีสามารถหายใจที่ควบคุมการทำงานของเซลให้ลดน้อยลงได้ ทำให้อายุเซลลดลง เซลแบ่งตัวช้าและใช้เซลนั้นๆ ได้นานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลแบ่งตัวน้อยจึงมีอายุเซลน้อยกว่าปกติ ด้วยการใช้หลักการหายใจตรงข้ามกับที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วกำหนดด้วยจิตหายใจแบบแผ่วเบา ลดปริมาณการใช้พลังงานในร่างกายลง เพื่อลดการเผาผลาญอาหาร และลดการใช้งานเซลลง ทำให้เซลได้รับผลกระทบน้อย และมีอายุยืนยาวนานขึ้นได้ นี่คือ หลักการยืดอายุและไม่แก่ชราของโยคีโบราณ

การรักษาโรคด้วยพลังเก้าเอี๊ยงไม่ได้แทนที่การแพทย์แผนปัจจุบัน

บทความนี้มิได้กล่าวว่าการรักษาโรคตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบันผิดแต่อย่างใด แต่ได้กล่าวถึงหลักการแพทย์แผนปัจจุบันเรื่องการหายใจแบบใช้ออกซิเจน และได้นำเสนอวิธีหายใจนี้ เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรค ของการแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อลดจำนวนการใช้ยาลง ลดต้นทุนของโรงพยาบาลที่ต้องแบกรับภาระผู้ป่วยมากมายลง และเป็นวิธีที่ง่ายสะดวกใช้ได้กับทุกคนที่ยังคงมีลมหายใจ ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการโคม่าไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ก็สามารถออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้ง่ายๆ เพียงใช้การหายใจ ซึ่งผู้ป่วยโคม่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องขยับกล้ามเนื้อส่วนใดเลย ดังนั้น การรักษาโรคด้วยพลังเก้าเอี๊ยง จึงช่วยส่งเสริมการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างยิ่ง

การฝึกพลังเก้าเอี๊ยงช่วยให้พ้นวิกฤติเช่นภาวะขาดแคลนอาหารได้

ภาวะโลกร้อน ในปัจจุบันทำให้ธรรมชาติแปรปรวน และผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย เกิดวิกฤติขาดแคลนอาหารตามมาในที่สุด การฝึกการหายใจแบบโยคีที่เรียกว่าพลังเก้าเอี๊ยงนี้ จึงช่วยให้มนุษย์รอดพ้นวิกฤติต่างๆ ได้ ด้วยเพียงการฝึกหายใจซึ่งไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่มใดๆ เลย ไม่ต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือใดๆ ทุกท่านที่ยังสามารถหายใจได้ ก็ล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้นโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรใดๆ เพิ่มเติม นอกจากที่ธรรมชาติให้เรามาแล้วทั้งสิ้น โลกร้อนยังทำให้เกิดภาวะวิกฤติตามมาอีกมากมาย การเตรียมตัวเองเพื่อรับมือกับภาวะวิกฤติจึงทำให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างปกติ การฝึกหายใจนี้มีผลดีมาก สามารถแทนที่ปัจจัยสี่ของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง หากฝึกจนชำนาญแล้ว ก็สามารถควบคุมตนเองได้ดีมาก และพึ่งพาอาศัยวัตถุนอกตัวน้อยลงไปตามลำดับ

การฝึกพลังเก้าเอี๊ยงช่วยเป็นพื้นฐานที่สำคัญของกีฬาทุกชนิด

ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า พลังเก้าเอี๊ยงเป็นพลังงานภายในร่างกาย พลังงานจากการสันดาปของเซลโดยตรงไม่ใช่พลังภายนอก การฝึกพลังเก้าเอี๊ยง จึงช่วยในการควบคุมการใช้พลังงานภายในร่างกายได้อย่างดี และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬาที่ต้องการก้าวสู่การพัฒนาการขั้นสูงยิ่งๆ ขึ้นไป มีนักกีฬาจำนวนมากที่ไปไม่ถึงฝัน เพราะเหตุว่าพื้นฐานการหายใจที่ไม่ดี ทำให้เกิดความเจ็บปวดเมื่อยล้าและฝึกฝนได้ไม่นาน ความชำนาญจึงไม่เกิด การฝึกหายใจแบบนี้ ช่วยลดความเจ็บปวดเมื่อยล้าและทำให้สามารถฝึกซ้อมได้มากขึ้น นานขึ้น และทำให้เกิดความชำนาญล้ำหน้าคู่แข่งขันได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย

การฝึกพลังเก้าเอี๊ยงช่วยเป็นพื้นฐานของการร้องเพลงทุกชนิด

นักร้องทุกคนต้องฝึกหายใจเป็นอันดับแรก เพื่อให้สามารถใช้ลมหายใจในการร้องเพลงได้ตามใจต้องการ การฝึกหายใจแบบโยคีที่เรียกว่าพลังเก้าเอี๊ยงนี้ จึงช่วยในการร้องเพลงโดยตรง ทำให้สามารถร้องเพลงได้ดี มีพลัง และออกเสียงได้ยาวนานมากขึ้นเป็นลำดับ ช่วงเสียงกว้างขึ้นอีกด้วย ภิกษุในวัดเส้าหลินจะถูกให้ฝึกออกเสียงสวดมนต์ยาวขึ้นและยาวขึ้นในพระสูตรต่างๆ กันไป เพื่อฝึกพลังเก้าเอี๊ยง ฝึกการหายใจยาวนั่นเอง

การฝึกพลังเก้าเอี๊ยงช่วยเป็นพื้นฐานของปัญญาญาณขั้นสูง

ลมปราณเก้าเอี๊ยงที่สะสมไว้ภายในร่างกาย จะสามารถนำไปใช้ในการฝึกจิตด้านอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น ใช้กระตุ้นต่อมไพนีล หรือตาที่สาม จนสามารถฟื้นพัฒนาการของตาที่สามที่มนุษย์โบราณเคยใช้ได้ดี สามารถมองเห็นคลื่นความถี่พลังงานได้ในช่วงกว้างกว่ามนุษย์ปัจจุบัน รังสีชนิดต่างๆ ที่ตามนุษย์ปัจจุบันมองไม่เห็น เมื่อได้พัฒนาต่อมไพนีลมากขึ้นแล้วก็สามารถรับสัมผัสได้มากขึ้น กว้างขึ้นตามลำดับ ดังนั้น การฝึกเก้าเอี๊ยง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาอวัยวะรับสัมผัส ซึ่งจะใช้ในการศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัวของมนุษย์ ขยายพรหมความรู้ให้กว้างออกไป และเป็นพื้นฐานของปัญญาญาณที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ เนื่องจากลมหายใจเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานของมนุษย์ที่มนุษย์สามารถควบคุมได้ ต่างจากระบบหมุนเวียนโลหิตหรือหัวใจที่คุมได้ยากกว่านั่นเอง

โดย physigmund_foid

18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz