ภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาทสี่เหล่านี้ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ก็อิทธิบาทสี่อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ))
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วย ฉันทะสมาธิและปธานสังขารดังนี้ว่า)
ฉันทะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป) ไม่ต้องประคองเกินไป )ไม่หดหู่ในภายใน) ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก )
และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น) เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น) เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น
กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น) กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น )
เธอมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรห่อหุ้ม อบรมจิตให้สว่างอยู่))
ภิกษุทั้งหลาย ก็ฉันทะที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นไฉน?)
ฉันทะที่ประกอบด้วยความเกียจคร้าน สัมปยุตด้วยความเกียจคร้าน นี่เรียกว่าฉันทะที่ย่อหย่อนเกินไป))
ก็ฉันทะที่ต้องประคองเกินไปเป็นไฉน?)
อุทท์ธัจจะ อันได้แก่ความคิดซัดส่ายตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ
) ฉันทะที่ประกอบด้วยอุทท์ธัจจะ สัมปยุตด้วยอุทท์ธัจจะ นี้เรียกว่าฉัททะที่ต้องประคองเกินไป))
ก็ฉันทะที่หดหู่ในภายในเป็นไฉน?)
ถีนะมิทธะอันได้แก่ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม เป็นต้น) ฉันทะที่ประกอบด้วยถีนะมิทธะ
สัมปยุตด้วยถีนะมิทธะ นี้เรียกว่าฉันทะที่หดหู่ในภายใน))
ก็ฉันทะที่ฟุ้งซ่านไปในภายนอกเป็นไฉน?)
ฉันทะที่ฟุ้งซ่านไป พล่านไป คิดถึงกามคุณห้าในภายนอก นี้เรียกว่าฉันทะที่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก))
ภิกษุมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้นอย่างไร?)
ความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้า อันภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยึดได้แล้ว กระทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงไว้ดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา)
ภิกษุชื่อว่า มีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้นอย่างนี้แล))
ก็ภิกษุมีความสำคัญอยู่ว่า เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้นอย่างไร?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณากายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องล่างแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่าในกายนี้ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ( สามสิบสองอาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของปฏิกูล)
ภิกษุชื่อว่า มีความสำคัญอยู่ว่า เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้นอย่างนี้แล))
ก็ภิกษุมีความสำคัญอยู่ว่า กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้นอย่างไร?)
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทะสมาธิ และปธานสังขารในกลางวัน ด้วยอาการเหล่าใด ด้วยเพศเหล่าใด ด้วยนิมิตเหล่าใด )
เธอย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทะสมาธิ และปธานสังขารในกลางคืนด้วย อาการเหล่านั้น ด้วยเพศเหล่านั้น ด้วยนิมิตเหล่านั้น))
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทะสมาธิและปธานสังขารในกลางคืนด้วยอาการเหล่าใด ด้วยเพศเหล่าใด ด้วยนิมิตเหล่าใด )
เธอย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทะสมาธิและปธานสังขาร ในกลางวัน ด้วยอาการเหล่านั้น ด้วยเพศเหล่านั้น ด้วยนิมิตเหล่านั้น)
ภิกษุมีความสำคัญอยู่ว่ากลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น อย่างนี้แล))
ก็ภิกษุมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่อย่างไร?)
อาโลกะสัญญาอันสำคัญว่า แสงสว่าง) อันภิกษุในธรรมวินัยนี้ยึดไว้ดีแล้ว มีความสำคัญว่า กลางวันตั้งมั่นดีแล้ว ภิกษุมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ
อบรมจิตให้สว่างอยู่อย่างนี้แล)
ก็วิริยะที่หย่อนเกินไปเป็นไฉน?) ก็จิตตะที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นไฉน?) ก็วิมังสาที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นไฉน?) )"ภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาทสี่อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก )
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาทสี่อย่างนี้แล ย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ เป็นต้น ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรมโลกก็ได้ )
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญ กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาทสี่อย่างนี้แล ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาดสะวะมิได้ เพราะอาดสะวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่"))
เธอมีจิตเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่ ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยะสมาธิ) ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยจิตตะสมาธิ)ย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขารดังนี้ว่า
วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอกและเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น.
ธรรม ๑๑ ประการย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสมาธิสัมโพชด์ฌงค์คือ)
๑. ทำวัตถุให้สะอาดทั้งร่างกาย เครื่องแต่งกายและที่อยู่)
๒. ปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน )
๓. เป็นผู้ฉลาดในนิมิต ได้แก่ การเรียนการศึกษาในลักษณะของกสิณนิมิต หรือการศึกษาลักษณะของนิมิตในกายะคะตาสติ (อาการ ๓๒) ซึ่งได้แก่สีต่างๆ หรือกลิ่น หรือลักษณะอื่นๆอีก เป็นต้น)
๔. ยกจิตหากจิตหดหู่อันเนื่องจากความเพียรย่อหย่อน ต้องยกขึ้นด้วยธัมมวิจัย วิริยะ และปีติสัมโพชด์ฌงค์ )
๕. ข่มจิตหากเกิดจิตฟุ้งซ่านเนื่องจากความเพียรมากเกินไป ต้องข่มด้วยปัสสัทธิ สมาธิและอุเบกขาสัมโพชด์ฌงค์)
๖. ให้จิตร่าเริงหากเกิดความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติ เนื่องจากเป็นผู้มีปัญญาอ่อน หรือเพราะไม่ได้ความสุขจากการปฏิบัติ ต้องทำให้จิตสังเวชด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่ความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความทุกข์ในอบาย ความทุกข์ในอดีตชาด ความทุกข์ในอนาคตชาด และความทุกข์ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ พร้อมกันนั้นก็ให้ทำความเลื่อมใสในการน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัย)
๗. วางจิตเฉยเมื่อจิตนั้นไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน หรือไม่เบื่อหน่าย)
๘. เว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น )
๙. คบบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น)
๑๐. น้อมจิตไปในสมาธิทุกอิริยาบถ)
|
|
18 6 2025 Welcome Guest Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
|
 |
Login form |
|
 |
 |
Calendar |
|
 |
 |
Entries archive |
|
 |
 |
Tag Board |
|
 |
 |
Search |
|
 |
 |
mp3 |
|
 |
 |
Changing Partner |
|
 |
|