Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
แนวทางสมถะ 2

วิธีที่ 2

หลังจากรู้ตำแหน่งของใจ และคลายอารมณ์ไปพอควรแล้ว ปรับภาวะจิตใหม่ กระตุ้นให้จิตมีหน้าที่ เพื่อไม่ให้ตกภวังค์ โดยการนึกมาที่ลมหายใจเข้าออก ปรับการหายใจให้เป็นปกติไม่สั้นไม่ยาวเกินไป โดยให้มีสติ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ให้เราหายใจแบบเป็นปกติ

ช่วงจังหวะที่หายใจเข้าให้รีบนึกไปที่หัวใจ แล้วคงความรู้สึกให้นิ่งอยู่ที่หัวใจจนหมดลมหายใจเข้า ขณะที่ลมหายใจเข้าสุด ให้กลั้นลมไว้นิดหนึ่งก่อนจะหายใจออกมา และความรู้สึกก็ยังคงนิ่งอยู่ที่หัวใจ ขณะหายใจออกมาคงความรู้สึกไว้ที่หัวใจ ลมหยาบในหัวใจจะถูกคลายออกมา และจะรู้สึกร้อนวูบวาบที่หัวใจ หน้าอก ใบหน้า ตามผิวกาย เมื่อถึงจุดหนึ่งความร้อนตามจุดต่างๆ จะหมดไป ลมหายใจละเอียดขึ้น แสดงว่าลมหยาบในหัวใจคลายหมดแล้วประคองความรู้สึกให้หยุดนิ่งอยู่กับฐานใจอย่างเดียวไม่เคลื่อนไปตามลมเข้าออก เมื่อลมในหัวใจนิ่ง การเต้นของหัวใจจะเบา ช้าลงจนแทบไม่รู้สึก และลมหายใจก็จะหายไปจากความรู้สึก ภาวะเช่นนี้แสดงว่าจิตบรรลุถึงระดับปฐมฌานที่ฐานใจแล้วระดับของความสงบตลอดจนอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ฐานใจจะเหมือนกับฐานอารมณ์ แต่จะแนบแน่นอยู่ได้นานกว่า อาการของฌานระดับลึกก็จะชัดเจนมากกว่า ดังนั้นหากต้องการศึกษาเรื่องฌานให้เข้าใจโดยละเอียด ควรใช้ฐานใจเป็นฐานฝึกปฏิบัติ

วิธีการออกจากความสงบ เราต้องนึกกำหนดจิตที่จะออกมาก่อน โดยนึกถึงลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกให้ยาวขึ้น จิตจะค่อย ๆ ถอนตัวออกมาเองเป็นลำดับ ๆ จากภาวะละเอียดมาหาหยาบ จนมาสู่ภาวะปกติ

คุณประโยชน์ของการฝึกจิตให้สงบ ตามวิธีการได้บรรยายมา คือ ความสงบทำให้จิตมีพลังเพิ่มขึ้น ยิ่งจิตมีความสงบมากพลังจิตก็เพิ่มมาก ทำให้เราทราบถึงระดับพลังงานของจิตว่ามีสี่ระดับใหญ่แต่เรายังไม่รู้ว่าจิตจะต้องอยู่ที่ระดับพลังระดับไหนและโดยกระบวนการอย่างไรถึงจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริงภาวะของฌานทั้งสี่ระดับคือปฐมฌานทุติยฌานตติยฌานจตุตถฌานยังไม่ใช่ภาวะที่พ้นจากทุกข์แต่เป็นภาวะข่มทุกข์โดยใช้พลังจิตข่ม เมื่อจิตดำรงอยู่ในองค์ฌาน ทุกขเวทนาจะดับหมด แต่พอออกมาทุกข์ก็ยังคงอยู่ แม้ไม่ใช่ภาวะที่พ้นจากทุกข์แต่เราสามารถอาศัยภาวะของฌานเป็นเครื่องมือเพื่อให้พ้นจากทุกข์ ก็คือกระบวนการที่เราหมายถึงและจะกล่าวต่อไป ซึ่งหากเราไม่รู้ไม่เข้าใจกระบวนการเพื่อให้พ้นทุกข์ฌานนี้เองที่จะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้เราถึงซึ่งความพ้นทุกข์

ในอดีตที่ผ่านมาในสมัยพุทธกาลนั้นมีเจ้าลัทธิศาสนามากมาย ที่ประกาศทิฎฐิความเชื่อ ความรู้ที่ตนเองเชื่อถือและบรรลุว่าเป็นที่สุดของทุกสิ่ง เที่ยงแท้ ควรยึดถือเป็นทางเดินของชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์จำแนกออกได้ถึง 62 ทิฏฐิ ซึ่งล้วนเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งสิ้น มีบางกลุ่มที่กล่าวถึงระดับของฌานที่ตนบรรลุว่าเป็นที่สุดของทุกสิ่ง

(นิพพาน) ผู้ที่บรรลุเพียงปฐมฌาน ก็ถือว่าปฐมฌานคือนิพพาน ผู้บรรลุเพียงทุติยฌาน ก็ถือว่า ทุติยฌานคือนิพพาน ผู้บรรลุเพียงตติยฌานก็ถือว่า ตติยฌานคือ นิพพาน ผู้บรรลุเพียงจตุตถฌาน ก็ถือว่าจตุตถฌานคือนิพพาน คือพวกทิฎฐิธัมมนิพพาน 5 ส่วนกลุ่มที่ไม่รู้จักฌานก็ยึดถือว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้าคือนิพพาน สัมมาทิฎฐิในพุทธศาสนานั้นอยู่นอกเหนือทิฎฐิเหล่านี้

จิตไม่ใช่ใจ ใจไม่ใช่จิต

จิตไม่ใช่ผู้รู้

ผู้รู้คือวิญญาณธาตุ

เมื่อมาถึงปัจจุบัน สำหรับผู้ที่เคยได้ฝึกฝนทางจิตมาบ้าง และมีประสบการณ์ทางจิตเกิดขึ้น จึงควรได้พิจารณาถึงภูมิธรรมของตนเองที่ได้เข้าถึงจากการฝึกปฏิบัติที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกทำจิตให้สงบนิ่งที่ฐานต่าง ๆ อาจเข้าใจว่าสภาวะที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นการได้เห็นธรรมะ ทำให้พ้นทุกข์ได้ เป็นความจริงหรือไม่ หรือแท้จริงภูมิจิตของเรายังอยู่กับอารมณ์ของฌานอยู่ เพราะภาวะของตติยฌานกับจตุตถฌานนั้นง่ายต่อการที่จะหลงเข้าไปยึดถือว่าเป็นธรรม เป็น นิพพาน ซึ่งมีข้อควรพิจารณา ดังนี้

กรณีที่หนึ่ง

ในตติยฌาน แสงสีเหลืองที่ปรากฏแสงนี้ได้เรียกกันว่าเป็นความสว่างแสงสีขาวที่ปรากฏได้เรียกกันว่าเป็นความสะอาดเป็นความบริสุทธิ์ ในจตุตถฌานความว่างที่ปรากฏก็เรียกกันว่าเป็นความสงบจึงสรุปกันว่าธรรมะนั้นคือความสว่างสะอาดสงบซึ่งธรรมะนั้นไม่ใช่ภาวะเหล่านี้สภาวธรรมนั้นเป็นภาวะจิตที่ไม่ยึดเกาะปรุงแต่งพลังงานใด ๆ ทั้งเป็นอิสระจากขันธ์ห้า ความสว่างความสะอาดความสงบเป็นพลังงานที่อยู่ภายในอะตอมเป็นอาการของวิญญาณธาตุที่ละเอียดอันเป็นหนึ่งในขันธ์ห้า การที่จิตยังยึดเกาะวิญญาณขันธ์อยู่ แล้วจิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร

กรณีที่สอง

ในตติยฌาน เมื่อภาพนิมิตเกิดขึ้นโดยเฉพาะภาพที่เราเข้าใจมาก่อนว่าเป็นภาพที่ดี เช่นภาพพระพุทธรูป พระพุทธองค์ ภาพพระที่เราคิดว่าเป็นพระอรหันต์ ปรากฏขึ้นมาเราก็เข้าใจว่า การเห็นเช่นนี้คือ การเห็นธรรม เห็นนิพพาน ความเข้าใจเช่นนี้ยังห่างจากความจริงมากนักเพราะจิตที่เข้าถึงสภาวธรรมนั้นเป็นจิตที่ไม่ยึดเกาะปรุงแต่งพลังงานใดๆทั้งเป็นอิสระจากขันธ์ห้า ภาพนิมิตเหล่านี้แท้จริงก็คือ พลังงานแสง พลังงานแสงก็คือ อนุภาคโฟตอน (Photon) ที่อยู่ในวงโคจรในอะตอม การที่จิตยังยึดเกาะอนุภาคโฟตอนอยู่ แล้วจิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร

กรณีที่สาม

ในตติยฌาน ธาตุรู้จะมีกำลังเต็มที่ ทำงานเต็มที่ เราสามารถขยายขอบเขตความสามารถในการรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ หากอยากรู้อยากเห็นสิ่งใด กำหนดนึกไป ภาพสิ่งที่เราอยากเห็นจะมาปรากฏ สามารถรู้ความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น สัตว์อื่น รู้อดีต อนาคต รู้เห็นภพภูมิอื่น ภาวะที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เป็นเพราะจิตรวมกับธาตุรู้ตลอดเวลา ทำให้เราเข้าใจว่า จิตคือผู้รู้ซึ่งจิตนั้นไม่ใช่ผู้รู้แต่มาอาศัยผู้รู้อยู่ผู้รู้นั้นคือธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) หากเรายังเข้าใจว่าจิตคือผู้รู้แล้วเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสภาพจิตที่หลุดพ้นจากธาตุรู้เป็นอย่างไร

กรณีที่สี่

การฝึกจิตให้รวมเป็นหนึ่งกับธาตุรู้ที่ใจ เกิดภาวะเป็นความสว่าง สะอาด สงบ จะทำให้เราสรุปว่าการได้ธรรมะได้กันที่ใจและจะเกิดความเข้าใจว่าจิตกับใจคือสิ่งเดียวกัน เพราะวิธีการฝึกอย่างนี้เราต้องทำจิตให้อยู่กับใจตลอดเวลา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จิตกับใจจะแยกจากกัน โดยปกติใจก็มีอนุสัยกิเลสรักชังส่งแรงตัณหาไปร้อยรัดจิตอยู่แล้ว ดังนั้นหากฝึกจิตเช่นนี้ต่อไปเราจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างจิตกับใจและไม่ได้ธรรมะที่จริงแท้ การจะได้ธรรมะนั้นจิตต้องหลุดพ้นออกจากใจที่เป็นอายตนะเป็นมโนวิญญาณขันธ์

กรณีที่ห้า

ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ท่านก็ได้ไปศึกษาการเข้าฌานจากสำนักต่าง ๆ หากภาวะฌานระดับใดระดับหนึ่งสามารถนำท่านพ้นทุกข์ จาก เกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ท่านคงไม่ต้องไปค้นหาเพิ่มเติม และพุทธศาสนาก็คงไม่อุบัติขึ้นในโลก สมัยนั้นการฝึกจิตมีเฉพาะวิธีการสมถะกรรมฐาน ทำจิตให้สงบที่ฐานใดฐานหนึ่ง แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีการฝึกจิตด้วยวิธีวิปัสสนากรรมฐานและวิธีการนี้เองที่แสดงถึงความเป็นพุทธ เพราะเป็นวิธีการทำให้จิตแยกออกมาจากใจได้

แต่ถึงอย่างไร การรู้เรื่องของฌานก็เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์มาก หากเรารู้จักการนำมาใช้กับชีวิตประจำวัน เพราะฌานนอกจากจะใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์แล้ว ยังสามารถเป็นที่อยู่ เป็นที่พักของจิตได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความสงบระดับไหนก็ใช้พักได้ทั้งนั้น เนื่องจากในชีวิตประจำวัน เราต้องเหนื่อยกับการงาน การคิดการนึก กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้จิตเสียพลังความสงบ ความสว่าง ความบริสุทธิ์ และความว่างไป นอกเหนือจากการนอนหลับแล้ว การฝึกฝนจิตให้สงบเป็นวิธีให้จิตได้รับการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพื่อให้จิตได้ฟื้นฟูกำลัง เพื่อไปทำกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นต่อไป

ฌานทั้งสี่ระดับดังกล่าวข้างต้นเรียกว่า รูปฌาน ระดับชั้นของความสงบละเอียดของจิตที่ละเอียดกว่ารูปฌาน คือ อรูปฌาน เป็นอารมณ์ของฌานที่เพิกถอนออกจากระดับพลังงานของรูป ในขณะที่การพัฒนาทางปัญญาที่ยอดเยี่ยมของมนุษย์ทางโลกตะวันตก ก็ถูกผลักดันด้วยคำถาม อะไรคือที่สุดของทุกสิ่งเช่นกัน และนำไปสู่การค้นพบ อะตอม (Atom) โครงสร้างของอะตอม (Atomic structure),ระดับพลังงานในอะตอม (Energy level) และการให้พลังความร้อนและพลังแสงโดยมิได้ต่อเนื่องกันที่มีจังหวะละเอียดมากของอะตอม ที่เรียกว่า ควอนตัม (Quantum) อะตอมนั้นคือส่วนที่เล็กที่สุดอย่างหนึ่งของสสาร ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งต่าง ๆ ในเซลล์ประสาทก็เช่นกันมีอะตอมจำนวนมหาศาลที่เรียงร้อยถักทอเชื่อมโยงต่อกันเป็นเซลล์ประสาทขึ้นมาและธาตุรู้-วิญญาณธาตุก็สถิตย์อยู่ในอะตอมนี้ ทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลไม่ว่าจะมีโครงสร้างขนาดใหญ่หรือเล็ก ย่อมมีจุดศูนย์กลางที่เป็นแก่นหรือแกนกลางอยู่เสมอ และพยายามปรับตัวให้มีความสมดุลของรูปทรงและพลังงานที่สุด รูปทรงดังกล่าวก็คือ ทรงกลม อะตอมก็เช่นกัน เป็นทรงกลมของระดับชั้นของพลังที่อยู่ภายใน

อ้างอิงจาก ... แหล่งที่มา
19 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz