This is where things get really interesting. Using modern technology like fMRI scans, scientists have developed a more thorough understanding of what’s taking place in our brains when we meditate. The overall difference is that our brains stop processing information as actively as they normally would. We start to show a decrease in beta waves, which indicate that our brains are processing information, even after a single 20-minute meditation session if we’ve never tried it before. In the image below you can see how the beta waves (shown in bright colors on the left) are dramatically reduced during meditation (on the right).![]()
Frontal lobe
This is the most highly evolved part of the brain, responsible for reasoning, planning, emotions and self-conscious awareness. During meditation, the frontal cortex tends to go offline.
Parietal lobe
This part of the brain processes sensory information about the surrounding world, orienting you in time and space. During meditation, activity in the parietal lobe slows down.
Thalamus
The gatekeeper for the senses, this organ focuses your attention by funneling some sensory data deeper into the brain and stopping other signals in their tracks. Meditation reduces the flow of incoming information to a trickle.
Reticular formation
As the brain’s sentry, this structure receives incoming stimuli and puts the brain on alert, ready to respond. Meditating dials back the arousal signal.
http://www.freemeditation.com/articles/2009/09/10/calming-the-mind/Brain activity during meditation
After training in meditation for eight weeks, subjects show a pronounced change in brain-wave patterns, shifting from the alpha waves of aroused, conscious thought to the theta waves that dominate the brain during periods of deep relaxation
Relaxation increases… Power of theta waves as a percentage of total EEG power
…conscious thought decreases Power of alpha waves as a percentage of total EEG power [2]

เทคนิคคลายเครียด (ตอนที่ 2)
รศ.กนกรัตน์ สุขะตุงคะ
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
Faculty of
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
การนำไปใช้
เมื่อเกิดภาวะสงบหรือผ่อนคลาย คุณจะพร้อมที่จะรับคำแนะนำต่าง ๆ ดังนั้นช่วงนี้จึงควรพูดกับตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการให้ตัวเองเป็นหรือจดจำ เพราะมันจะค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของคุณ และเป็นแรงผลักดันให้คุณเป็นอย่างนั้นในที่สุด
ทำไมวิธีการผ่อนคลายจึงได้ผล
จากที่กล่าวมาแล้วว่าความคิดมีผลต่ออารมณ์และปฏิกิริยาทางร่างกาย ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนการคิดกังวลกับเรื่องที่ทำให้ไม่สบายไปสู่สิ่งดี ๆ หรือทำการผ่อนคลายส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ก็จะช่วยให้เกิดภาวะสมดุลขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องของการรับรู้ ความคิด การได้ยิน ตลอดจนการทำงานของต่อมไร้ท่อ เมื่อหลอดเลือดขยายตัวปริมาณโลหิตที่ไหลเวียนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ก็มีมากขึ้น มีอ๊อกซิเจนมากขึ้น ขจัดกรดแลคติกไปได้มากขึ้น ความตึงตัวของกล้ามเนื้อก็ลดลงไป ความผ่อนคลาย สงบ สบาย ก็เข้ามาแทนที่ นอกจานั้นการผ่อนคลายยังมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้อีก คือ
1. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อยังช่วยลดการเร้าอารมณ์ในระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ระบบสมองส่วนลิมปิค (limbic) ถูกกระตุ้นน้อยลง ความเครียดทางอารมณ์จึงลดลงไปและก็จะรู้สึกดีขึ้นทั้งจิตใจและร่างกาย
2. ภาวะผ่อนคลายจะทำให้คุณกลับสู่ปกติทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส สามารถรู้เท่าทันกับปฏิกิริยาของตัวเองเมื่อเกิดความเครียด และคิดแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหานั้น ๆ ได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพต่อไป
3. จะเห็นได้ว่าการจัดการกับความเครียดด้วยการใช้เทคนิคผ่อนคลายนี้ จึงเป็นบันไดขั้นแรกที่จะเตรียมตัวให้พร้อมกับการที่จะเริ่มต้นคิดแก้ปัญหาที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง นอกจากนั้นยังเป็นวิธีการที่จะช่วยเหลือขจัดโรคอันเนื่องมาจากความเครียดต่าง ๆ ด้วย ข้อสำคัญที่สุด วิธีผ่อนคลายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกผ่อนคลายคล้ามเนื้อ การสร้างจินตนาการถึงสถานที่พิเศษ การทำสมาธิ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำได้สะดวก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ประกอบ ดังนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ไม่ว่าจะมีฐานะหรือยากจน สิ่งสำคัญมีอยู่เพียงว่าวิธีการต่าง ๆ ที่จะใช้ ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ทั้งนี้เนื่องจากบางวิธีอาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ตนเองจะทำวิธีที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ก็จะได้ไม่เป็นอันตรายและได้ประโยชน์สูงสุด
เมื่อประสบกับอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความกลัว หรือความโกรธ เรารู้ตัวว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็วขึ้น ปากและคอแห้ง กล้ามเนื้อตึง เครียด เหงื่อออก แขนขาสั่น แน่นและอึดอัดในท้อง ส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นระหว่างอารมณ์รุนแรงเป็นผลจากการกระตุ้น sympathetic division ของระบบประสาทเสรี เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับภาวะฉุกเฉิน การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นมีดังนี้
1. ความต้านทานทางกระแสไฟฟ้า (electrical resistance) ของผิวหนังลดลง ความต้านทานของผิวหนังเช่นนี้บางทีเรียกว่า galvanic skin response (GSR)
2. ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ปริมาตรของเลือดในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป
3. หัวใจเต้นเร็วขึ้น บางรายอาจมีอาการเจ็บแปลบที่บริเวณหัวใจ
4. การหายใจเร็วและแรงขึ้น
5. รูม่านตาขยายทำให้แสงตกลงไปบนจอภาพ (retina) มากขึ้น
6. การหลั่งของน้ำลายลดลง ทำให้รู้สึกคอแห้ง
7. ขนลุกชัน (goose pimples)
8. การเคลื่อนไหวของกะเพาะและลำไส้ ลดลงหรือหยุดไปเลย เลือดจะเปลี่ยนทิศทางจากกระเพาะและลำไส้ไปยังสมองและกล้ามเนื้อลาย
9. กล้ามเนื้อตึงหรือกระตุก
10. มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนประกอบของเลือดที่เห็นชัดที่สุดคือระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เพื่อทำให้พลังงานเพิ่มมากขึ้น
แหล่งที่มา :http://www.chamlongclinic-psych.com/document/emotion/