Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
เสียงบรรยาย

ว่าด้วยสมมุติและอุปทาน

ก่อนเกิดมานั้น ไม่มีอะไรติดตัวมาด้วย และเมื่อตายไปแล้ว ก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเช่นกัน จะมีเฉพาะ บาป บุญ และปัญญาธรรมแห่งจิตเท่านั้น ที่จะติดตัวไป
แต่เมื่อเกิดมาแล้ว สภาพที่จิตจับกายหรือจับขันธ์ จึงเริ่มขึ้น
เกิดการเรียนรู้ เพื่อที่จะดำรงอยู่ได้และสนองต่อสิ่งที่แสวงหา
ทั้งโดนมอมเมาเกินกว่าความพอดีสำหรับการดำรงอยู่ได้ แบบพอเพียง
โดนมอมเมาจนหลงลืม ภาวะก่อนกำเนิด และหลงไหล หลังจากที่ เกิดมาแล้ว ถูกหล่อหลอม ด้วยสมมุติและอุปทาน
หลงลืมไปว่าจิตนี้ต้องการพัฒนาอะไรในช่วงชีวิต
จนกว่าจะเจอทุกข์ที่ไม่สามารถหลบ เลี่ยง หรือหนีจากได้ จึงเห็นตัวเราได้อย่างแท้จริง

เห็นการถูกมัดตรึง รัดตรึง และการก่อให้เกิด ที่มาจาก
ข้อ1  กิเลส10    
ข้อ 2 กระบวนการขันธ์5    
ข้อ3 บาปบุญคุณโทษ     
และ ข้อ4 ปัญญาแห่งจิตหรือสัญญาที่ผนวกอยู่กับจิต ตัวเดียวกัน    
ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ก็คือ สมมุติและอุปทานทั้งสิ้น เมื่อมาเห็นตรงนี้แล้วนั้น คำว่า มีอยู่ ดำรงอยู่ เป็นอยู่ จึงเป็นสภาพชั่วคราว แต่พึงรู้ที่จิตว่าไม่ไปยึดถือหรือถือตาม สิ่งที่มาจากปรัชญาและเดินตามปรัชญาชีวิต ที่เราวิปัสสนูขึ้นเองที่ยังขาดสัมมาทิฏฐิ

ของของกู ใครอย่าแตะ ด้วยคำคำนี้จึงใช้วิธีตีกรอบให้เราเข้าไปเห็นด้วยตัวเองเท่านั้น ห้ามชี้จุดให้ผู้หนึ่งผู้ใดเด็ดขาด การตีกรอบด้วยการ ให้ใจและกายสงบก่อน เมื่อใจและกายมีความนิ่งบนความสงบแล้ว สัจธรรมแห่งสมมุติและอุปทานจะผุดขึ้นมาเอง
ว่าด้วยสะมาถะ หรือความสงบ และ หยุดนิ่ง เป็นการทำให้กายสงบและจิตสงบ เพื่อให้จิตนั้นคุ้นเคยต่อสภาวะสงบ เมื่อเข้าสู่สภาวะสงบแล้ว กายจะหยุดนิ่งไม่ไหวติง จิตจะว่างๆ เปล่าๆ ไม่มีนึกคิดอะไร นี่คือเป้าหมายปลายทางที่ต้องการ จึงควรทำ ความเข้าใจก่อนว่า ร่างกายนั้นเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา จากเซลต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเซลสมอง เซลเนื้อเยื่อต่างๆ กลุ่มเซล ที่ประกอบเป็นอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ท้อง ปอด ตับไต ที่คอยส่งสัญญานเรียกร้องการเคลื่อนไหว และการ สนองตอบ อยู่ตลอดเวลา ขบวนการเหล่านี้ เซลต้องการออกซิเจ้นเพื่อเปลี่ยนสารอาหารต่างๆ เป็นพลังงาน ดังนั้นกระบวนการทำให้หยุดนิ่งนั้น คือการลดการหายใจเอาออกซิเจ้นเข้าร่างกาย และลดการกระตุ้นหรือเต้นของหัวใจให้น้อยที่สุด จึงทำให้เกิดสภาวะหยุดนิ่งได้สมบูรณ์ หรือ ที่เรียกว่า ฌาน4สมบูรณ์นั่นเอง ในโพดน์ชง7 สามข้อแรกประกอบด้วย สติ ธัมมะวิจายะ และ วิริยะ ซึ่งเป็นส่วนประกอบในการเข้าสู่ความสงบแห่งอุเบกขานั้น ธัมมะวิจายะ เป็นส่วนหนึ่งที่น่าทำความรู้จัก ธัมมะวิจายะนั้น คือ การพิจารณาอารมภ์ใดอารมภ์หนึ่ง หรือ จดจ่ออยู่กับอารมภ์ใดอารมภ์หนึ่ง จนในที่สุดเกิดการตรึงอารมภ์ ตรึงอารมภ์ คือ การก่อให้เกิดอารมภ์จดจ่อ โฟกัส มุ่งมั่นทางอารมภ์ ให้ความสนใจต่อภาพ นึกคิด ความรู้สึก ของอารมภ์นั้น เช่นภาพบ้านเรือนระยะไกล ความกว้างไกลของท้องฟ้า ความชัดเจนของ นิมิต หรือกสิน สิ่งที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ แรงจูงใจ กำลังใจ มิติสำหรับใช้เป็นอารม ยกตัวอย่างเช่น หยุดนิ่ง สะอาด บริสุทธิ์ เย็นใจร้อนใจ จ้องรับรู้และ ละ วาง อึดอัดผ่อนคลายใจกาย หนักเบา ล่องลอย เวิ้งว้าง บรรยากาศเก่าๆ สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า สสารและแรงโน้มถ่วง เป็นต้น
ว่าด้วยนิวร 5 หรือ สิ่งต่อต้านความหยุดนิ่ง     1ปฏิฆะ นิมิต (เครื่องหมายที่เป็นเหตุขัดใจ ) เป็นเหตุให้เกิดพยาบาท ความคิดปองร้าย )     2ความไม่ยินดี, ความเกียจคร้าน, ความซบเซา, ความเมาอาหาร, และความท้อแท้แห่งจิต เป็นเหตุให้เกิดความหดหู่ง่วงงุน ความไม่สงบแห่งจิต เป็นเหตุให้เกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจ      3การไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ไม่พิจารณา โดยละเอียดถี่ถ้วน ) เป็นเหตุให้เกิดความลังเลสงสัย           และทรงแสดงต่อไปว่า คือแสดงถึงธรรมะที่เป็นเหตุไม่ให้นิวรณ์ ๕ ที่กล่าวมาแล้วเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะ ละได้ เป็นข้อๆ คือ      1อะสุภะนิมิต หรือ เครื่องหมาย หรือ การกำหนดหมายถึงสิ่งไม่งาม นั้น เป็นคู่ปรับกับกามฉันท์ ความพอใจในกาม)      2เมตตาไมตรีจิต คิดจะให้เป็นสุขนั้น เป็นคู่ปรับกับพยาบาท ความคิดปองร้าย      3ธาตุคือความริเริ่มความก้าวออก หรือ ความก้าวไปข้างหน้า (อันได้แก่ อารัมภะธาตุ นิกกะมะธาตุ ปรักกะมะธาตุ )นั้น เป็นคู่ปรับกับถีนะมิทธะ ความหดหู่ง่วงนอน ) 4ความสงบแห่งจิต เจตะโส วูปะสะมะ นั้น เป็นคู่ปรับกับอุทธัดจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ )      5การไม่ใส่ใจโดยแยบคาย (โยนิโสมะนะสิการ ) เป็นคู่ปรับวิจิกิจ ฉา ความลังเลสงสัย)
ดูก่อนคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า? บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มี จิตกระสับกระส่ายไม่. ดูก่อนคฤหบดี คือ อริยะสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ผู้เห็นเวททานาพระอริยะ ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของเวททานาพระอริยะ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในอริยะธรรม ผู้เห็นสัตตะบุรุษ ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของสัตตะบุรุษ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม ย่อมไม่เห็นรูปโดย ความเป็นตน ) ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ) ย่อมไม่เห็นรูปในตน ) ย่อมไม่เห็นตนในรูป ) ไม่เป็นผู้ ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา. เมื่ออริยะสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา รูปนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นเวททานาโดยความเป็นตน ) ย่อมไม่เห็นตนมีเวททานา ) ย่อมไม่เห็นเวททานาในตน ) ย่อมไม่เห็นตนในเวททานา ) ไม่เป็นผู้ตั้ง อยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นเวททานา เวททานาของเรา. เมื่ออริยะสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่น ว่า เราเป็นเวททานา เวททานาของเรา เวททานานั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะเวททานาแปร ปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็น สัญญาโดยความเป็นตน ) ย่อมไม่เห็นตนมีสัญญา ) ย่อมไม่เห็นสัญญาในตน ) ย่อมไม่เห็น ตนในสัญญา ) ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่าเราเป็นสัญญา สัญญาของเรา. เมื่ออริยะสาวก นั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา. สัญญานั้นย่อมแปรปรวนเป็น อย่างอื่นไป เพราะสัญญาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน ) ย่อมไม่เห็นตนมีสังขาร ) ย่อมไม่ เห็นสังขารในตน ) ย่อมไม่เห็นตนในสังขาร ) ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารของเรา. เมื่ออริยะสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นสังขาร สังขารของเรา สังขารนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ) ย่อมไม่เห็น ตนมีวิญญาณ ) ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน ) ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ ) ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วย ความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา. เมื่ออริยะสาวกนั้นไม่ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นวิญญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณนั้นย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงไม่เกิดขึ้น. ดูก่อน คฤหบดี อย่างนี้แล บุคคลแม้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่. ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำเช่นนี้แล้ว นกุลปิตคฤหบดี ชื่นชมยินดีภาษิตของท่าน พระสารีบุตร ฉะนี้แล.
ก็มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นบัณฑิตจะทดลองถามว่า ก็พระศาสดา ของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ทรงเห็นอานิสงส์อะไร? จึงตรัสสอนให้กำจัดให้ฉันทะราคะในรูป เวททานา สัญญา สังขาร วิญญาณ. ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีความกำหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความ กระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป เวททานา สัญญา สังขาร และวิญญาณปราศจากไปแล้ว โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะรูป เวททานา สัญญา สังขาร และวิญญาณ แปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทั้งหลาย ทรงเห็นอานิสงส์นี้แล จึงตรัสสอนให้กำจัดฉันทะราคะในรูป เวททานา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ. [๙] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ จักได้มีการอยู่ สบาย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตาย ไปแล้ว ก็พึงหวังสุคติไซร้ พระผู้มีพระภาคก็จะไม่พึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย. ก็เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงอกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมมีการอยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก มีความ คับแค้น มีความเดือดร้อน ในปัจจุบัน และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงทรงสรรเสริญ การละอกุศลธรรมทั้งหลาย. [๑๐] ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย แต่เมื่อบุคคลเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ จักได้มีการ อยู่เป็นทุกข์ มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไป แล้ว ก็พึงหวังได้ทุคติไซร้ พระผู้มีพระภาค ก็จะไม่พึงทรงสรรเสริญ การเข้าถึงอกุศลธรรม ทั้งหลาย. ก็เพราะเมื่อบุคคลเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ มีการอยู่สบาย ไม่มีความลำบาก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อน ในปัจจุบันนี้ และเมื่อตายไปแล้ว ก็พึงหวังได้สุคติ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาค จึงทรงสรรเสริญ การเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย. ท่านพระสารีบุตรได้ กล่าวคำนี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร ฉะนี้แล.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ นะ พระวิหารเชตุวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. นะที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทะนา ความเกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ. ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป อะไรเป็นความเกิดแห่งเวทะนา อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร อะไรเป็นความเกิดแห่งวิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่. ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งอะไร. ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในรูป นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชา-ติ เพราะชา-ติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทะนา เหล่านี้ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา เหล่านี้ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร เหล่านี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชา-ติ เพราะชา-ติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปะริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทะนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็นความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป อะไรเป็นความดับแห่งเวทะนา อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่. ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร. ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความ ยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ภิกษุย่อมไม่ เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำ ซึ่งเวทะนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ... ซึ่งวิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทะนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ... ซึ่งวิญญาณ ความยินดีในเวทะนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ ย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกอง ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความดับแห่งรูป นี้เป็นความดับแห่งเวทะนา นี้เป็นความดับแห่งสัญญา นี้เป็นความดับแห่งสังขาร นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ.
ทำอินทรีย์ให้เสมอกันนั้น คือให้กระทำศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นั้นเสมอกัน ) ถ้าศรัทธานั้นกล้ากว่า วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ข่มวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อยู่แล้ว วิริยะก็จะมิอาจสามารถกระทำปัคคะหะกิจ คือไม่อาจค้ำชูจิตนั้นไว้ให้ยั่งยืนอยู่ในพิธีทางภาวนานั้นได้ สตินั่นจะมิอาจกระทำอุปะฏะฐานกิจ คือมิอาจบำรุงจิตให้ยึดเหน่วงอารมณ์แห่งพระกรรมฐานนั้นได้ สมาธินั้นก็จักมิอาจกระทำอวิกะเขปะนะกิจ คือมิอาจดำรงจิตไว้ให้แน่เป็นหนึ่งได้ ปัญญานั้นเล่าก็จักมิอาจกระทำทัสสะนะกิจ คือมิอาจพิจารณาเห็นอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตนั้นได้ เป็นทั้งนี้ก็อาศัยด้วยศรัทธานั้นกล้าหาญนัก วิริยะนั้นเล่าถ้ากล้าหาญข่มศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา อยู่แล้วศรัทธาจักมิอาจกระทำอธิโมกขะกิจ คือมิอาจกระทำให้จิตนั้นมีศรัทธากล้าหาญมีกำลังข่มได้ สติแลสมาธิปัญญาก็จักมิอาจสามารถที่จะให้สำเร็จกิจแห่งตน ๆ ได้ อาศัยด้วยวิริยะกล้าหาญมีกำลังนัก สมาธินั้นเล่าถ้ามีกำลังข่มศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา อยู่แล้ว ศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา นั้นก็จะมิอาจสามารถสำเร็จกิจแห่งตน ๆ ได้ ทีนั้นความเกียจคร้านก็จะครอบงำย่ำยีได้เพราะเหตุว่าสมาธินั้นเป็นฝักฝ่ายโกสัชชะ ปัญญานั้นเล่าถ้ากล้าหาญข่มศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิอยู่เเล้ว ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ก็จะมิอาจสามารถให้สำเร็จกิจแห่งตน ๆ ได้ ทีนั้นก็จะเห็นผิดเป็นเกราฏิยปักข์มักโอ้อวดไปกลับหลังมิได้ใคร่จะได้ ดุจโรคอันเกิดขึ้นด้วยยาพิษแลรักษายากนัก แต่สติสิ่งเดียวนั้นถึงจะกล้าหาญมีกำลังมาก ก็มิได้เป็นโทษ สติย่อมรักษาไว้ซึ่งจิตมิให้ฟุ้งซ่านเกียจคร้านได้ ศรัทธากล้า วิริยะกล้าปัญญากล้า จิตจะตกไป ฝ่ายอุทธัจจะฟุ้งซ่านอยู่แล้ว สติก็รักษามิให้ฟุ้งซ่านกำเริบได้ สมาธิกล้า จิตจะตกไป ฝ่ายโกสัชชะจะเกียจคร้านอยู่แล้ว สติก็รักษาไว้มิให้เกียจคร้านได้สตินี้เปรียบประดุจดังว่า เกลือเจือไปในสูปพยัญชนะทั้งปวง ถ้ามิดังนั้นเปรียบประดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ อันเอาใจใส่รอบครอบไปในราชกิจทั้งสิ้นทั้งปวง สติมากนี้ดีเสียอีก จะเป็นโทษนั้นหามิได้ แต่ศรัทธา วิริยะ สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๔ นี้จำจะกระทำให้เสมอกันจึงจะดี ศรัทธานี้ถ้ากล้าหาญมีกำลังปัญญาน้อย ก็น่าที่จะเลื่อมใสในอันใช่ฐานะภายนอกพระศาสนา ปัญญานั้นเล่าถ้าว่ามีกำลังศรัทธากล้าศรัทธาน้อยก็จะเห็นผิดเป็นเกราฏิยปักข์ไป เมื่อใดปัญญาแลศรัทธากล้าเสมอกันแล้ว จึงจะเลื่อมใสในพระรตนัตยาทิคุณ ๓ ประการ มีพระพุทธคุณเป็นต้น สมาธินั้นเล่าถ้ากล้าหาญวิริยะน้อย ความเกียจคร้านก็จะครอบงำย่ำยี ถ้าวิรยะกล้าสมาธิน้อยจิตฟุ้งซ่านกำเริบไปเมือใดวิริยะดับสมาธินั้นเสมอให้เสมอกัน จึงจะดีในการที่จะเจริญพระกรรมฐาน
กิเลสฝ่ายดีและการผสมผสานเป็นจริต)) ในที่นี้ ราคะหมายถึงประสงค์สิ่งสนองตัณหา แสวงหาวัตถุกาม ) ศรัทธาหมายถึงประสงค์สิ่งที่ดี แสวงหาสิ่งที่ดีในทางศีลธรรม ) โดยลักษณะให้สังเกตุว่า ราคะไม่สละสิ่งที่เลว และศรัทธาไม่สละสิ่งที่ดี )) ผู้ที่เดินอยู่ในราคะ)) ผู้เดินในโทสะ หรือ ความโกรธเกลียด)) ผู้ที่เดินอยู่ในโมหะ หรือ ความหลงใหล)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งศรัทธา)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งปัญญา หรือ ใช้ความฉลาด)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งความนึกคิด หรือ ความวิตก)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งราคะและความโกรธเกลียด)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งราคะและความหลงใหล)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งความโกรธเกลียดและความหลงใหล)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งราคะความโกรธเกลียดและความหลงใหล)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งศรัทธาและความฉลาด)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งศรัทธาและความ วิตก)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งความฉลาดและความวิตก)) ผู้ที่ใช้เส้นทางแห่งความฉลาดและความวิตก)) บุคคลที่มี ราคะ รวมกับ ศรัทธา เมื่อเขากระทำกุศลกรรม หรือทำสิ่งที่ดีๆ ได้นั้น เพราะสืบเนื่องมาจากศรัทธาที่แก่กล้า นำพาสู่ ความอยากด้วยราคะที่มีอยู่ จึงทะยานอยากที่จะทำสิ่งดีๆ หรือ จะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เพราะศรัทธาเป็นปัจจัย และ ราคะ เป็นเหตุจึงกระทำกุศลกรรม) ราคะ และ ศรัทธา มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ได้แก่ การยึดถือ การแสวงหาสิ่งดีๆ และ การไม่ผลักไสขับไล่ ) โทสะกับปัญญา ) คนพวกนี้ เมื่อทำกุศล ย่อมเกิดจากปัญญาที่กล้าแกร่ง ) โทสะ และปัญญา มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ คือ ไม่ยึดมั่น การใฝ่หาความผิดพลาด และ การผลักไส )) โมหะ กับ วิตก ) คนพวกนี้ จะทำกุศล เมื่อมีวิตก มากๆหรือแกร่งกล้า เพราะปราศจากศรัทธาและปัญญา) โมหะ และวิตก มีลักษณะที่เหมือนกัน คือ ความไม่มั่นคง และ ความเคลื่อนไหว ) ในการฝึกปฏิบัตินั้น จะสังเกตุว่า ผู้ที่ยังมีโมหะ ครอบงำอยู่ จะฝึกได้ช้า เพราะแนะนำได้ยาก เนื่องจากมี โมหะ และ วิตก และ ไม่ค่อยมี่ศรัทธา และ ปัญญา) และหากมี ราคะ โทสะ โมหะ หรือ ศรัทธา ปัญญา วิตก เสมอกันแล้ว จะแนะนำได้ยาก เนื่องจากไม่มีปัญญาเพียงพอ และเพราะมีโมหะ และ วิตกกล้า ) ) ธาตุที่เป็นสาเหตุแห่งจริยา ) โมหะ เนื่องมาจาก ธาตุดิน และ ธาตุน้ำ เพิ่มสูงขึ้น ) มีผลก่อเกิดเสมหะ มากกว่าปกติ โทสะ เนื่องมาจาก ธาตุไฟ และ ธาตุลม สูง ) มีผลก่อเกิดน้ำดี มากกว่าปกติ ราคะ เนื่องมาจาก ธาตุเสมอกัน มีผลก่อเกิด ลมเยอะ
http://www.urbandharma.org/pdf1/Path_of_Freedom_Vimuttimagga.pdf

parinip_00.mp3
ศีล คือ ความสังวรจากภายใน ) สมาธิ คือ ความที่จิตไม่ฟุ้งซ่านจากภายใน ) ปัญญา คือ ความรอบรู้จากภายใน ) วิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากพันธนาการ ) วิมุตติมี5ประการคือ หลุดพ้นด้วยการข่มไว้ ) หลุดพ้นด้วยองค์นั้นๆ ) หลุดพ้นด้วยการตัดขาด ) หลุดพ้นด้วยความสงบ ) หลุดพ้นด้วยการสลัดออก ) ทวนสั้นๆ ว่า )) ข่มไว้ สิ่งนั้นดับเอง ตัดขาด สงบ สลัดออก))ข่มไว้ สิ่งนั้นดับเอง ตัดขาด สงบ สลัดออก)) วิธีการปฏิบัติดังนี้ หลุดพ้นด้วยการข่มไว้ ด้วยการเข้าฌาน4สมบูรณ์ เรียกว่า วิกะขัมภะนะ) หลุดพ้นด้วยองค์นั้นๆ ด้วยการชำแรกกิเลสหรือสิ่งนั้นๆ ในฌาน เรียกว่า ตะทังคะ) หลุดพ้นด้วยการตัดขาด การทำลายสังโยชน์ด้วยโลกุตตะระมรรค เรียกว่า สมุดจะเฉท) หลุดพ้นด้วยความสงบ ด้วยผลของความสุขใจของบุคคลจากผลการปฏิบัติ เรียกว่า ปฏิปัดสัทธิ ) หลุดพ้นด้วยการสลัดออก ด้วยการดับขันธ์ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ เรียกว่า นิสสรณ์) ทวนสั้นๆ ว่า )) ข่มไว้ด้วยฌานสี่ ชำแรกด้วยโยนิโสมะนะสิการ ตัดขาดด้วยโลกุตตะระมรรค สงบด้วยปฏิปัตสัทธิ สลัดออกด้วยการดับขันธ์)) อีกครั้ง)) ข่มไว้ด้วยฌานสี่ ชำแรกด้วยโยนิโสมะนะสิการ ตัดขาดด้วยโลกุตตะระมรรค สงบด้วยปฏิปัตสัทธิ สลัดออกด้วยการดับขันธ์)) อีกครั้ง)) ข่มไว้ด้วยฌานสี่ ชำแรกด้วยโยนิโสมะนะสิการ ตัดขาดด้วยโลกุตตะระมรรค สงบด้วยปฏิปัตสัทธิ สลัดออกด้วยการดับขันธ์)) ธรรมหนึ่งที่รั้งจิตไว้ในขณะที่จิตเจอสัจจะธรรมสูงสุดแล้ว คือ ยังมีคนดีอยู่ ที่ยังเหมือนคนตาบอด ที่ยังคงเที่ยวไปในโลกกว้าง โดยปราศจากผู้นำทาง ทั้งๆ ที่เขาปราดถะหนาความหลุดพ้น แต่ ไม่เคยได้ยินคำสอนเรื่องความหลุดพ้น หรือรับรู้มาผิดๆ เพราะยังคงถูกครอบงำไว้ด้วยทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังมีสัตว์โลกที่มีธุลีคือกิเลสเพียงเล็กน้อยในปัญญาจักษุ พวกเขาจะเสื่อมไปเพราะไม่ได้ฟังธรรม และพระพุทธเจ้าตรัสอีกว่า มีปัจจัยสองประการที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ คือ ฟังจากผู้อื่น และ โยนิโสมะนะสิการ
ขันธ์5 คืออะไร (ขันธ์ หมายถึง กองทุกข์ ในทางพุทธศาสนา) ขันธ์5 ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน ซึ่งจะอธิบายโดยละเอียดดังนี้ สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตะจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน คือ วัตถุ รู้สึกนึกคิด และ นิพพาน)) )) สรรพสิ่งแรก คือส่วนที่เรียกว่ารูปขันธ์ อันได้แก่เป็นวัตถุทั้งหลาย ได้แก่ สะสารทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็นความร้อน ความอ่อนความแข็ง ความหย่อนความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ช่องว่างต่างๆ อากาศ ดินน้ำไฟลม สภาพแห่งความเป็นหญิงเป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐานให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย ซึ่งเหล่านี้รวมเรียกว่ารูปขันธ์ )) สรรพสิ่งที่สอง คือส่วนที่เรียกว่านามขันธ์ อันได้แก่เป็นความรู้สึกนึกคิดและความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ ได้แก้ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาน อธิบายละเอียดดังนี้ )) 1 เวดด์ทนาขันธ์ คือความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย สุขทางใจ) ทุกข์ทางใจ) อุเบกขา(คือเป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์) )) 2 สัญญาขันธ์ คือความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด อันเป็นนามขันธ์ )) 3 สังขารขันธ์ คือส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฎของจิตนั่นเอง โดยมีกิเลสและอนุกิเลส ทั้งฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศลเป็นรากฐานในการปรุงแต่ง ยกตัวอย่างเช่น ความโลภความโกรธความหลง ทาน(คือสภาพของจิตที่สะหละ สิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตากรุณามุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอายความเกรงกลัว ความไม่ละอายความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่างๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ปิติ ความยินดีพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง เหล่านี้เป็นต้น)) 4 วิญญาณขันธ์ หรือจิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆตั้งแต่ เวดด์ทนาขันธ์ )สัญญาขันธ์) สังขารขันธ์) และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่งนิพพานด้วย )) สรรพสิ่งที่สามคือ นิพพาน คือสภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันธ์ในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย )) โดยที่เวดด์ทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์รวมเรียกว่าเจตสิก ซึ่งแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ (ในภาษาบาลีนั้นสระ อิ กับสระ เอ ใช้แทนกันได้ เจต จึงเท่ากับ จิต นั่นเอง) คือจิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่นเท่านั้นเอง เรื่องขันธ์ ในมหาสติปัฏฐานสูตรในกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนา หรือว่าจิตตานุปัสสนาถึงข้อนิวรณ์5 อันนี้ ถือเป็นสะมาถะกรรมฐานคือการปรับสภาพร่างกายและจิตใจเข้าสู่สภาวะความสงบจนกระทั่งเข้าสู่สภาวะหยุดนิ่ง และในส่วนที่เป็นวิปัสสนากรรมฐาน ขันธ์หมายถึงกองทุกข์ ขันธ์5 แปลว่า มีอยู่ 5กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คำว่าวิญญาณตัวนี้ไม่ใช่จิต เป็นวิญญาณที่เกาะอยู่กับขันธ์5 เรียกว่าประสาทที่ใช้ในการรับ หรืออีกนัยหนึ่งนั้นก็คือว่า วิญญานได้รับไว้แล้ว ซึ่งมีคำกล่าวไว้ว่า วิญญานรับจิตเป็นผู้รู้ การพิจารณาขันธ์5 นี่เป็นปัจจัยให้ได้โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ )ในอริยสัจ4 ก็เหมือนกัน อริยสัจ4 ก็เป็นการพิจารณาขันธ์5 คือทุกข์หรือว่าสมุทัยที่เกิดกับขันธ์5 ))ขันธ์5 เป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน คือคนที่จะบรรลุพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อาศัยขันธ์5 เป็นปัจจัย มีพระสูตรหนึ่ง สูตรนี้ก็มีอยู่ในพระธรรมบทขุททะกะนิกาย หรือว่ามาจากพระไตรปิฎก เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่ เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง" บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่ายังพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไปเธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหารเข้าไปหาพระสารี บุตร พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า พวกกระผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะ ทำยังไงขอรับ พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเขาทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์5 ขันธ์5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์3 ได้ คือ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตะปรามาส เมื่อปลงขันธ์5 อย่างเดียวสังโยชน์3 มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์3 ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีจะ ทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาขันธ์5 ตามแบบนั้นแหละพิจารณาละเอียดลงไปก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะ ทำยังไง ท่านก็บอกว่าปลงขันธ์5 นั่นเองทำอย่างว่านั้นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร ท่านบอกว่าพิจารณาขันธ์5 ตามที่บอกมานั่นแหละก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์10 ก็ จะขาดไป พระพวกนั้นก็จะถามว่า เมื่อเป้นพระอรหันต์ละสังโยชน์10 ได้แล้วการพิจารณาขันธ์5 ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข ขันธ์5 ตัวเดียวเท่านั้นแหละเป็นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว ในขันธวรรคแห่งพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะส่วนหนึ่ง หรือธรรมะอย่างหนึ่ง กองหนึ่ง ที่สามารถทำลายกิเลสได้ทั้งหมด เรื่องขันธ์ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อีกข้อหนึ่งภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อุปาทานขันธ์5 อย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย จึงชื่อว่าภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอันได้แก่อุปาทานขันธ์5 อย่างนี้คือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่ารูปอย่างนี้ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้ รูปนี่ เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของธาตุ4 มีอาการ32 )มหาสติปัฏฐานต้องมองย้อนไปย้อนมาว่า คือรูปมันก็มีหนังกำพร้ามีเนื้อมีรูป มีตับไตพังผืดไส้ปอด ไม่ต้องพรรณนาอาการ32 ครบถ้วนเป็นรูป ทีนี้รูปร่างนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ต้องไปดูธาตุ4 อาศัยธาตุ4มาประชุมกัน ตั้งขึ้นมาตั้งแต่เล็กแล้วก็โตมาทีละน้อย ๆ อาศัยอาการเปลี่ยนแปลงเจริ
18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz