เป็นพลัง ขับเคลื่อน โดย สัญญา อารมภ์ และ ปัญญา ไปสู่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา(ภายใต้ความสงบ)สติ
เรืองอัดอั้นตันใจ ต่างๆ สามารถทำให้สงบลงได้ ด้วยวิธีการคลายใจ ซึ่งสัมพันธ์ท่ามกลาง ร่างกาย อวัยวะ นึกคิด รวมถึงจิตใจ ด้วยความสันโดษ เพียงลำพัง ( = เพียงพอเฉพาะตนเอง ไม่พึ่งพาปัจจัยเกินจำเป็น ไม่ได้หมายความว่าต้องโดดเดี่ยว เดียวดาย) ซึ่งเป็นสภาวะอิสระสูงสุดของมนุษย์ เมื่อเข้าสู่สภาวะความสงบนี้ จะสังเกตได้ว่า หัวใจเต้นช้าลง หรือ เค้นสม่ำเสมอ ไม่มีอาการเต้นกระชาก ขณะเดียวกัน คลื่นสมอง จะเรียบคงที่ เปรียบได้กับ ขณะเราฟังเสียง ฝนตก เสียงน้ำไหล เสียงน้ำตก เป็นระยะเวลานานๆ ต่อเนือง ลมหายใจไปอยู่ที่ท้องน้อยลึกๆ โดยท้องน้อยจะมีลักษณะการหดเข้าและค้างอยู่แบบนั้นเป็นเวลานานๆ
ความหวัง ความฝันใฝ่ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีทั้ง ด้วยแรงปรารถนา หรือ ปราศจากแรงปรารถนา(อันนี้จะเข้าใจยาก จะเข้าใจได้ต้องเข้าถึง ฌาน 4 ที่สมบูรณ์) ความไม่สมบูรณ์ของความหวังหรือความฝันใฝ่นี้ เป็นตัวการสำคัญตัวหนึ่ง ที่ทำให้จิตมนุษย์นั้น ไม่สามารถทรงความสงบใดๆ ไว้ได้ (อาจได้ เพียงแค่ข่ม ไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง) เมื่อมนุษย์ดำรงอยู่ทางโลกแบบสัตว์ทั่วๆไป เพื่อการเสพความสำเร็จนั้นๆ จะเข้าถึงภาวะ อิ่มใจ สุกเต็มอิ่ม อะไรทำนอง เพื่อถึงการพอแล้วเพียงเท่านี้ไม่อีกต่อไป นี่คือ ภาวะสงบทางโลกสุดท้ายและถึงที่สุดที่มนุษย์ต้องการ โดยการ ตั้งปรัชญา (สมมติ ) และ เดินตามปรัชญาของตนเอง (อุปทาน โดยถือตามนั้น แล้ว ดำเนินตามนั้น)
ปรัชญาแห่งความสงบ ปราศจากมลทิน หรือ ปรัชญาแห่งสติ
- อยู่ในอารมภ์สงบ ด้วย กายนิ่ง จิตสงบ
- รักษาจิต ให้ปราศจากมลทิน ด้วยการไม่เบียดเบียด ตนเอง และผู้อื่น ด้วยการ ไม่มากเกิน และ น้อยจนเกินไป
- ปัจจัยดำรงชีพพื้นฐานพึ่งมี และ หาได้ (อาหารเพื่อทรงได้แก่ร่างกาย ยา เครืองนุ่งห่ม ที่อาศัยพักพิงที่พอดี หลบเลี่ยงภัยอันตราย)
- เมื่อชีวิตแห่งร่างกายนี้ดับสูญ ควรมีความเห็นเพียงแค่นี้ก่อนว่า พอที่การดับสูญนี้ก่อน โดยทำภาวะจิตสุดท้ายให้ปราศจาก สิ่งถ่วงจูงใดๆ เอาแค่ก่อนพอ อย่าไปคิดไกลเกินนั้น เปล่าประโยชน์ เพราะภาวะจิตเกินกว่านั้น เป็นเรืองของธรรมชาติความสมบูรณ์แห่งจิต ว่า สมบูรณ์ไร้มลทินเพียงใด
ปรัชญาแห่งคุณวิเศษ
- การดำรง จิตบริสุทธิ์ กายบริสุทธิ ฟอกกันไปฟอกกันมา จะมีสภาวะ อิ่มทิพย์ ไม่ง่วงนอน ความอ่อนล้าเกิดขึ้นได้จากร่างกายที่อ่อนล้าที่แท้จริง ไม่ได้เกิดมาจากจิต
- คอยปัด มลทินออกจากจิต เสมอๆ
- ทานอาหารพอประทังชีวิต รักษาท้องให้เบาหรือว่างเท่าที่ กายจะอำนวย นอนให้น้อย (นอนเฉพาะคลายร่างกายจากความล้าทางกล้ามเนื้อเท่านั้น)
เมื่อเห็นทุกข์ จึงเห็นภายในตัวเรา
เห้นถึงกลไก ความเจ็บปวดเดินทางกระทบอย่างไรในใจ ข้ามเข้าสู่จิตอย่างไรในแต่ละขั้นตอน
วันสุดท้ายของจิต ดูได้แต่ความเจ็บปวดไม่สามารถหลบซ่อนได้ วันเวลาที่เหลือพึงอยู่ฌาน 4 สมบูรณ์บ่อยๆ ช่างจะสุขวิเศษ
สภาวะอารมภ์ และสภาวะร่างกาย
กล่าวกันว่า จิต คือ อารมภ์ - อารมภ์ คือจิต - จิต คือ ขันธ์ 5 - ขันธ์ 5 คือ จิต - จิต คือ กายเรานี้ - กายเรานี้ คือ จิต ... คำกล่าวเช่นนี้ จะเกิดกับผู้รู้ เมื่อถึง สภาวะปลายทาง เท่านั้น แต่ระหว่างทาง จะเต็มประกอบไปด้วย มานะแห่งการยึดถือ สมมติอุปทาน ได้แก่ เทวดา นางฟ้า เทพ พระโพธิสัคว์ ต่างๆนานา เพื่อเบาเทา หรือ ชดเชย ความอาภัพ หรือ ปมด้อย ที่ตั้งสมมติ ขึ้นมา
เช่นนี้ เนืองมาจาก กายนั้น ก่อให้เกิดอารมภ์ ซึ้งก็คือ จิต นั่นเอง จิตเองเป็นแรงขับดัน ให้กายเกิดปฏิกริยาเคมีต่างๆนานา กลับไปกลับมาเช่นนี้ การดับทั้งกายและจิต หรือ ภาษาที่ถูกต้องคือ หยุดการทำงานของกายและจิต จะก่อให้เกิด สภาวะอารมภ์ของฌาน4สมบุรณ์ พระพุทธเจ้ากล่าวถึงเพียงว่า หยุดกิเลสไม่ให้ก่อเกิดหรือดำเนินต่อเนื่องในจิต นั่นคือ อารมภ์นั้นว่างอยู่เสมอ เมื่อสภาวะอารมภ์มีอยู่เพียงเช่นนี้ จะไปยึดตามหรือคล้อยตาม อารมภ์เหล่านั้น เพื่ออะไรกัน มันเปล่าประโยชน์ เพราะสภาวะอารมภ์ต่างๆ มันไม่ได้จีรังถาวร สุดท้าย มันก้อจบลง ที่ว่างเปล่า อยู่ร่ำไป
สภาวะจิตที่สมบูรณ์ คือสภาวะอารมภ์ที่สามารถแยกแยะสดุดเห็น สิ่งเจือปนต่างๆ ที่มีอยู่ในอารมภ์นั้นได้เด่นชัด และไม่กระเทือนตาม ตราบใดที่ยังมีกายนี้อยู่ ขันธ์ 5 คงทำงานของมันไป นั่นคือจิต จะถูกสร้างอยู่เสมอ พุทธศาสนาเชื่อว่า จิตดวงสุดท้ายที่ยังมีมลทินใดๆ เจือปนอยู่แม้จะน้อยนิดก้อตาม มลทินอันนั้นจะเป็นตัวก่อให้เกิดจิต ตามไปในร่างใหม่ (แต่ในพระไตรปิฏก ยังไม่เคยอ่านเจอ ข้อความที่ชี้ชัดเช่นนี้ เจอแต่ว่า ในชีวิตนี้เท่านั้น คำว่า ภพ น่าจะหมายถึงสภาพสุดท้ายของจิต และชา-ติ น่าจะหมาย การเริ่มต้นของจิต ตัวใหม่)ดังนั้น การค้นหานิพพาน นั้น คือ การค้นหาอะไรกันแน่ เพราะมันไม่มีอยู่ แต่เป้าหมายก็คือสภาวะอารมภ์ที่ปราศจากมลทินเจือปน ทำไปเพื่อรู้จัก หรือ ทำเพื่อคุ้นเคย เป็นสิ่งที่น่าหาคำตอบ
ในอีกแง่มุมหนึ่ง ร่างกายเรานี้ ประกอบไปด้วยเซล นับล้านๆ มีพลังงานในตัวเอง มีกิจกรรมการดำรงชีวิตและวงจรชีวิตของมันเอง กลุ่มพลังงานจากเซลเหล่านี้ ทำงานของมันเองเป็นอิสระภายใต้สภาวะที่เอื้ออำนวยให้พวกมัน ถ้าพวกมันเกิดมั่ว หรือ สภาวะไม่เอื่อต่อพวกมัน มันก็จะส่งผลปฏิกริยาโต้ตอบกลับ กับ สิ่งที่มันอาศัยหรือพึ่งพา
ในการฝึก หลังจาก สภาพร่างกาย ประสบความเจ็บ ความเมื่อยล้า สมองจะสั่งการให้ตัดความรู้สึกนั้นลง เมื่อถึงภาวะขีดสุดเกินกว่าจะขนาดสัญญานที่เซลประสาทส่งปริมาณกระแสไฟฟ้ามา เหมือนสมองบอกว่า ไม่ต้องส่งไม่ต้องรับอีกต่อไป เพราะ สมองนั้น รับรู้แล้ว หลังจากนั้น เราจะประสบความสงบ และจึงเข้าใจ และเข้าถึง ว่า ร่างกายนั้นสงบลง อย่างไร (จริงๆ ร่างกายไม่ได้สงบ ความเจ็บปวดเหล่านั้น ยังคงอยู่ แต่ ไม่ได้ส่งสัญญานมาแล้ว และ ไม่มีการรับรู้อีกแล้ว) จิตจึงสงบโดยปริยาย
จิต และ เจตสิก น่าจะหมายถึง อารมภ์ และ ชนิดของอารมภ์ หรือ รูปแบบของอารมภ์ ... แต่ทำ จึงมีการทำ สมาบัติ 8 แล้ว เข้าไปดับสัญญา หรือ ที่เรียกว่า สัญญาเวทยิท ซึ่งเป็นการจำลอง สภาวะกายดับ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ แล้วไปดูกลไกของสมอง ว่า มีการทำงานอย่างไร ด้วยการทรงสติให้มีอยู่ การฝึกต่างๆ นานาก่อนหน้านั้น ก็อาจจะเพื่อสิ่งนี้ คือ การฝึกสติอย่างแข็งแกร่ง เพื่อให้ทรงสติ ในสภาวะนี้ เพื่อเข้าไปทำการศึกษาสมองที่ทำงาน ในระดับนี้ แต่การดับสัญญานี่สิ จะดับอย่างไร ดับด้วยการรู้ของการเกิดขึ้นของสัญญา ความเป็นไปของสัญญา ความไม่สลักสำคัญของสัญญา เพียงแค่นี้กระนั้นหรือ?
"ความฉลาดทางอารมณ์ = เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อื่น + แก้ไขความขัดแย้งได้
เข้าใจตนเอง ---> เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกและความต้องการในชีวิตของตนเอง
เข้าใจผู้อื่น ---> เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงออกมาได้อย่างเหมาะสม
แก้ไขความขัดแย้งได้ ---> เมื่อมีปัญหาสามารถแก้ไขจัดการให้ผ่านพ้นไปได้อย่างเหมาะสมทั้งปัญหาความเครียดในใจ หรือปัญหาที่เกิดจากการขัดแย้งกับผู้อื่น"
- ๑. การควบคุมตนเอง ... ความสามารถ แห่ง สติ ของ จิตแยกกาย
- ๒. ความเห็นใจผู้อื่น ... เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
- ๓. ความรับผิดชอบ ....
- ๔. การมีแรงจูงใจ ..... ปัญญา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจิต
- ๕. การตัดสินใจแก้ปัญหา ...
- ๖. สัมพันธภาพกับผู้อื่น ... อาศัย บุคลิกภาพ เสน่ห์ ฐานะ ความมีหน้ามีตาครอบครัว
- ๗. ความภูมิใจในตนเอง ...
- ๘. ความพอใจในชีวิต ... รู้ คลายใจ จึงยอมวาง
- ๙. ความสุขสงบทางใจ ... จิตปราศจากมลทิน
...จากบทความ EQ
จริงๆ พระพุทธเจ้า สอนเพียงแค่ ให้ อารมภ์ว่างๆ ไม่มีสิ่งหนักๆ ในอารมภ์ แค่นั้นเอง
สภาพ นี้ จะเกิดขึ้นทุกครั้ง หลังจาก เสร็จสิ้น ภาระกิจใด กิจหนึ่ง จะรู้สึกถึงความเบา ผ่อนคลายในภาระ นั้น
เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายนั้น หมายถึงว่า อย่าไปนึกคิดอะไรไกล คิดแต่เฉพาะภายในช่วงชีวิตนี้ เท่านั้น อย่างในศาสาคริสต์ ก็มีคำพูดคล้ายๆ กัน คือ ตายไปแล้วไปรอพระเจ้าตัดสิน จะไม่กลับมาเกิดอีก (ซึ่งจริงๆ การกลับมาเกิด ก็มี แม้ในหมู้คริสตชนเองก้ตาม) หรือ ง่ายๆคือ ณ ตอนนี้ หยุดความต่อเนือง นั่นเอง
เรืองสติ คิดเผินๆ ก็เหมือนไม่ใช่อะไรที่สลักสำคัญเท่าไหร่ เราไปเน้นดูจิต กันซะส่วนใหญ่ จิตนั้นเป็นเพียงอาการ รู้ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างไม่ว่าจะเป็นภายนอก หรือ ภายใน ที่เข้ามากระทบการรับรู้ของเรา แต่ตัวที่สำคัญที่สุดคือ กลไกควบคุมความสนใจต่อสิ่งใดๆ ก็คือ สติ นั่นเอง ดังนั้น กระบวนการจึงเป็นเช่นนี้
รู้ (จิต) รับและหล่อหลอมการรู้ (ด้วยวิญญาน) <-- กลไกควบคุมความสนใจหรือไม่สนใจ (สติ)
How Unconscious Mechanisms Affect Thought http://www.scientificamerican.com/article/how-unconscious-mechanisms/ WHAT IS CONSCIOUSNESS? What is this ineffable, subjective stuff—this thing, substance, process, energy, soul, whatever—that you experience as the sounds and sights of life, as pain or as pleasure, as anger or as the nagging feeling at the back of your head that maybe you’re not meant for this job after all. The question of the nature of consciousness is at the heart of the ancient mind-body problem. How does subjective consciousness relate to the objective universe, to matter and energy?
Consciousness is the only way we experience the world. Without it, you would be like a sleepwalker in a deep, dreamless sleep, acting in the world, speaking, having babies, but without feeling anything. You would feel nothing, nada, nichts, rien. Indeed, in the most famous deduction of Western thought, philosopher and mathematician René Descartes concluded that because he was conscious he existed. That was his only unassailable proof that he wasn’t just a chimera. Maybe he didn’t have the body he thought he had, maybe he had fake memories (premonitions of The Matrix), but because he was conscious he must exist.
Yet the questions go on. Are only people conscious? What about a fetus? What about a neurological patient in a persistent vegetative state, such as Terri Schiavo (who died in 2005), who can’t do much more than open and close her eyes? Although many are willing to accord sentience, consciousness, to our beloved cats and dogs, what about apes, monkeys, whales, mice, bees and all the other critters on the planet? Can a fly be conscious? What about artificial consciousness? Is your cool iPhone sentient? Can machines ever become conscious, as is widely assumed in so many science-fiction novels and movies?
Until recently, these questions were purely within the domain of speculative philosophy and fantasy. But over the past decades, science has been making huge strides in exploring the brain. An immense number of psychological, medical, neurobiological and physical stories about consciousness can now be told. Each Consciousness Redux essay will illuminate one facet of one of the most central, enduring and puzzling aspects of the world, subjective feelings.
I am a scientist who seeks rational explanations of ineffable consciousness and of how and why it arises in the brain. But I also realize that our universe is a strange place; there are more things in heaven and earth than are dreamt of in philosophy. So I try to be humble when it comes to one of the most mystifying aspects of this universe—that I wake up each day and find myself conscious, capable of seeing, touching, loving, feeling and remembering. I am not a zombie! Many different traditions besides the modern scientific one have provided answers, and we should not reject them out of hand but listen to them.