...กำหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน ว่าด้วย อาการแห่งอุปะทาน ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมสำคัญธาตุดิน ย่อมสำคัญในธาตุดิน ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมสำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมยินดี ธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำ ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุน้ำโดยความเป็นธาตุน้ำแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุน้ำ ย่อมสำคัญในธาตุน้ำ ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุน้ำ ย่อมสำคัญธาตุน้ำว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุน้ำ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟ ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุไฟโดยความเป็นธาตุไฟแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุไฟ ย่อมสำคัญในธาตุไฟ ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุไฟ ย่อมสำคัญธาตุไฟว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุไฟ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุลมโดยความเป็นธาตุลม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าธาตุลมโดยความเป็นธาตุลมแล้ว ย่อมสำคัญ ธาตุลม ย่อมสำคัญในธาตุลม ย่อมสำคัญโดยความเป็นธาตุลม ย่อมสำคัญธาตุลมว่า ของเรา ย่อมยินดีธาตุลม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าสัตว์โดยความเป็นสัตว์ ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าสัตว์โดยความเป็นสัตว์แล้ว ย่อมสำคัญสัตว์ ย่อมสำคัญในสัตว์ ย่อมสำคัญโดยความเป็นสัตว์ ย่อมสำคัญสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าเทวดาโดยความเป็นเทวดา ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าเทวดาโดยความเป็นเทวดาแล้ว ย่อมสำคัญเทวดา ย่อมสำคัญในเทวดา ย่อมสำคัญโดยความเป็นเทวดา ย่อมสำคัญเทวดาว่าของเรา ย่อมยินดีเทวดา ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่ามารโดยความเป็นมาร ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่ามารโดยความเป็นมารแล้ว ย่อมสำคัญมาร ย่อมสำคัญ ในมาร ย่อมสำคัญโดยความเป็นมาร ย่อมสำคัญมารว่า ของเรา ย่อมยินดีมาร ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าพรหมโดยความเป็นพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าพรหมโดยความเป็นพรหมแล้ว ย่อมสำคัญพรหม ย่อมสำคัญในพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นพรหม ย่อมสำคัญพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าอาภัสสะราพรหมโดยความเป็นอาภัสสะราพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าอาภัสสะราพรหมโดยความเป็น อาภัสสะราพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอาภัสสะราพรหม ย่อมสำคัญในอาภัสสะราพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นอาภัสสะราพรหม ย่อมสำคัญอาภัสสะราพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอาภัสสะราพรหม ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าสุภะกินณะหะพรหมโดยความเป็นสุภะกินณะหะพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าสุภะกินณะหะพรหมโดยความเป็น สุภะกินณะหะพรหมแล้ว ย่อมสำคัญสุภะกินณะหะพรหม ย่อมสำคัญในสุภะกินณะหะพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นสุภะกินณะหะพรหม ย่อมสำคัญสุภะกินณะหะพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีสุภะกินณะหะพรหม ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าเวหัปผะลาพรหมโดยความเป็นเวหัปผะลาพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าเวหัปผะลาพรหมโดยความเป็น เวหัปผะลาพรหมแล้ว ย่อมสำคัญเวหัปผะลาพรหม ย่อมสำคัญในเวหัปผะลาพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นเวหัปผะลาพรหม ย่อมสำคัญเวหัปผะลาพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเวหัปผะลาพรหม ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าอสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าอสัญญีสัตว์โดยความเป็นอสัญญีสัตว์แล้ว ย่อมสำคัญอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญในอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญโดยความเป็นอสัญญีสัตว์ ย่อมสำคัญอสัญญีสัตว์ว่า ของเรา ย่อมยินดีอสัญญีสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าอากาสานัญจายะตะนะพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายะตะนะพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าอากาสานัญจายะตะนะพรหมโดยความเป็นอากาสานัญจายะตะนะพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอากาสานัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญในอากาสานัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นอากาสานัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญ อากาสานัญจายะตะนะพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากาสานัญจายะตะนะพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าวิญญาณัญจายะตะนะพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายะตะนะพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าวิญญาณัญจายะตะนะพรหมโดยความเป็นวิญญาณัญจายะตะนะพรหมแล้ว ย่อมสำคัญวิญญาณัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญ ในวิญญาณัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นวิญญาณัญจายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญวิญญาณัญจายะตะนะพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีวิญญาณัญจายะตะนะพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าอากิญจัญญายะตะนะพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายะตะนะพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าอากิญจัญญายะตะนะพรหมโดยความเป็นอากิญจัญญายะตะนะพรหมแล้ว ย่อมสำคัญอากิญจัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญ ในอากิญจัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นอากิญจัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญ อากิญจัญญายะตะนะพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีอากิญจัญญายะตะนะพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหมโดยความเป็นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่า เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหมโดยความเป็นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหมแล้ว ย่อมสำคัญเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญในเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญโดยความเป็นเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม ย่อมสำคัญเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหมว่า ของเรา ย่อมยินดีเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่ารูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่เห็น ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่ารูปที่ตนเห็นโดยความเป็นรูปที่ตนเห็นแล้ว ย่อมสำคัญรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญในรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญโดยความเป็นรูปที่ตนเห็น ย่อมสำคัญรูปที่ตนเห็นว่า ของเรา ย่อมยินดีรูปที่ตนเห็น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าเสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียงที่ตนฟัง ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าเสียงที่ตนฟังโดยความเป็นเสียง ที่ตนฟังแล้ว ย่อมสำคัญเสียงที่ตนฟัง ย่อมสำคัญในเสียงที่ตนฟัง ย่อมสำคัญโดยความเป็นเสียง ที่ตนฟัง ย่อมสำคัญเสียงที่ตนฟังว่า ของเรา ย่อมยินดีเสียงที่ตนฟัง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าอารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าอารมณ์ที่ตนทราบโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบแล้ว ย่อมสำคัญอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสำคัญในอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสำคัญโดยความเป็นอารมณ์ที่ตนทราบ ย่อมสำคัญอารมณ์ที่ตนทราบว่า ของเรา ย่อมยินดีอารมณ์ ที่ตนทราบ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าธรรมารมณ์ที่ตน รู้แจ้งโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้งแล้ว ย่อมสำคัญธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญในธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญโดยความเป็นธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ย่อมสำคัญธรรมารมณ์ที่ตน รู้แจ้งว่า ของเรา ย่อมยินดีธรรมารมณ์ที่ตนรู้แจ้ง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขา ไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกัน ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าสักกายะเป็นอันเดียวกันโดยความเป็นอันเดียวกันแล้ว ย่อมสำคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญในความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญโดยความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ย่อมสำคัญความที่สักกายะเป็นอันเดียวกันว่า ของเรา ย่อมยินดีความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกัน ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าความที่สักกายะต่างกันโดยความเป็นของต่างกันแล้ว ย่อมสำคัญความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญในความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญโดยความที่สักกายะต่างกัน ย่อมสำคัญความที่สักกายะต่างกันว่า ของเรา ย่อมยินดี ความที่สักกายะต่างกัน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่าสักกายะทั้งปวงโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่าสักกายะทั้งปวงโดยความเป็นสักกายะทั้งปวงแล้ว ย่อมสำคัญสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญในสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญโดยความเป็นสักกายะทั้งปวง ย่อมสำคัญสักกายะทั้งปวงว่าของเรา ย่อมยินดีสักกายะทั้งปวง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ย่อมรู้โดยอุปะทานไปว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้โดยอุปะทานไปว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมสำคัญนิพพาน ย่อมสำคัญในนิพพาน ย่อมสำคัญโดยความเป็นนิพพาน ย่อมสำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว
แม้ภิกษุนั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ไม่สำคัญในธาตุดิน ไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.ย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ตนเห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น นิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.
...กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขะบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใดเป็นเสขะบุคคล ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล เมื่อปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะซึ่งไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าอยู่
แม้ภิกษุนั้นรู้ด้วยอุปะทานไปว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยอุปะทานไปว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว อย่าสำคัญธาตุดิน อย่าสำคัญในธาตุดิน อย่าสำคัญโดยความเป็นธาตุดิน อย่าสำคัญธาตุดินว่า ของเรา อย่ายินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.ย่อมรู้ด้วยอุปะทานไปว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม รูปที่ตนเห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณ ที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะ ทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยอุปะทานไปว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยอุปะทานไปว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว อย่าสำคัญนิพพาน อย่าสำคัญในนิพพาน อย่าสำคัญโดยความเป็นนิพพาน อย่าสำคัญนิพพานว่า ของเรา อย่ายินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเขาควรกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริง.
...กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขะบุคคล.
...กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลส เครื่องประกอบสัตว์ ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว
แม้ภิกษุนั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ไม่สำคัญในธาตุดิน ไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.ย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ตนเห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น นิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะเธอกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.
...กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
...กำหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นรู้ด้วยสติว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยสติว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่าของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะ ปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
ย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะหะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ตนเห็น . เสียงที่ ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่ สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น นิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป.
...กำหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
...กำหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ใน ภพแล้ว พ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ด้วยสติว่ายิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
ย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะรา พรหม . สุภะกินณะหะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ตน เห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็น นิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป.
...กำหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
...กำหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุนั้นใด เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ เสร็จกิจแล้ว ปลงภาระเสียแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ตนแล้ว สิ้นกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ใน ภพแล้ว หลุดพ้นด้วยปัญญาอันชอบแล้ว แม้ภิกษุนั้นย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุดินโดยความเป็นธาตุดิน ครั้นรู้ด้วยสติว่า ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุ อะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
ย่อมรู้ด้วยสติว่าธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะหะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ ตนเห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ย่อมรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ด้วยสติว่านิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นนิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะ เหตุอะไร เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป.
...กำหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระขีณาสพ.
...กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตภาคตอะระหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ยิ่งธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้ว ย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่า เพราะธาตุดินนั้นพระตถาคต กำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.
ย่อมทรงรู้ธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะหะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญาตนพรหม . รูปที่ ตนเห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียวกัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ทรงรู้นิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นทรงรู้นิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นนิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเราย่อมไม่ยินดี นิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เรากล่าวว่าเพราะนิพพานนั้นพระตถาคตทรงกำหนดรู้และตระหนักถึงสิ่งที่รู้อยู่นั้นเป็นอะไรแท้ที่จริงแล้ว.
...กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.
...กำหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตอะระหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริง ครั้นทรงรู้ธาตุดินโดยความเป็นธาตุดินจริงแล้วย่อมไม่สำคัญธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญในธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นธาตุดิน ย่อมไม่สำคัญธาตุดินว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีธาตุดิน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรหรือ? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลิน เป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุ ทั้งหลายเราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สำรอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง
ย่อมทรงรู้ยิ่งธาตุน้ำ . ธาตุไฟ . ธาตุลม . สัตว์ . เทวดา . มาร . พรหม . อาภัสสะราพรหม . สุภะกินณะหะพรหม . เวหัปผะลาพรหม . อสัญญีสัตว์ . อากาสานัญจายะตะนะพรหม . วิญญาณัญจายะตะนะพรหม . อากิญจัญญายะตะนะพรหม . เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะพรหม . รูปที่ตน เห็น . เสียงที่ตนฟัง . อารมณ์ที่ตนทราบ . วิญญาณที่ตนรู้แจ้ง . ความที่สักกายะเป็นอันเดียว กัน . ความที่สักกายะต่างกัน . สักกายะทั้งปวง .
ทรงรู้ยิ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นทรงรู้นิพพานโดยความเป็นนิพพานแล้ว ย่อมไม่สำคัญนิพพาน ย่อมไม่สำคัญในนิพพาน ย่อมไม่สำคัญโดยความเป็นนิพพาน ย่อมไม่สำคัญนิพพานว่า ของเรา ย่อมไม่ยินดีนิพพาน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรหรือ? เรากล่าวว่า เพราะทรงทราบว่า ความเพลิดเพลินเป็นมูลแห่งทุกข์ เพราะ ภพจึงมีชาติ สัตว์ผู้เกิดแล้ว ต้องแก่ ต้องตาย เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เราจึงกล่าวว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะสิ้นตัณหา สำรอกตัณหา ดับตัณหา สละตัณหา สละคืนตัณหาเสียได้ โดยประการทั้งปวง.