เกษตร หมู่สัตว์ ภูมิ วิหาระธรรม วิสุทธิ โลกุตตระ
ดูก่อนรัตนกูฏ ในสรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นแล ชื่อว่าเป็นหมู่สัตว์แห่งพระโพธิสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา?
ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งหมู่โลกุตตรสัตว์ได้
อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดิน
กลับไปอาศัยอากาศเพื่อสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น
กล่าวคือในการยังหมู่โลกุตตรสัตว์ให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั่นเอง
รัตนกูฏ! เธอพึงสำเหนียกว่า จิตที่ตั้งไว้ถูกตรง นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ
เหล่าสัตว์ซึ่งปราศจากมายาความหลอกลวง ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น จิตที่ลึกซึ้งนั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกุศลคุณ ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น โพธิจิต นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งเป็นมหายานิกบุคคล ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
การบำเพ็ญทาน นั่นแลชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งมีจาคธรรม ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
การรักษาศีล นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งบำเพ็ญกุศลกรรมบถทั้ง๑๐ได้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
ขันติ นั่นแลชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธิภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งรุ่งเรืองด้วยทวัตติงสาลังการ ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
วิริยะ นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ผู้มีความบากบั่นพากเพียรในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
ฌานสมาธิ นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งสำรวมจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
ปัญญา นั่นแล ชื่อว่า วิหาระธรรมของพระโพธิสัตว์
ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุวิหาระธรรมแห่งโลกุตตระ เหล่าสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์เที่ยงต่อการ
ตรัสรู้ ย่อมมาถืออุบัติในหมู่สัตว์นั้น
ท่านวิมลเกียรติได้กล่าวถึงโทษแห่งสรีระไว้เป็นอเนกประการแล้วจึงกล่าวสรุปว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย สรีรกายนี้น่าเบื่อหน่ายเห็นปานฉะนี้ เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงยินดีในพระพุทธสรีระ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา? ก็เพราะว่าอันพระพุทธสรีรกายนั้น คือ พระธรรมกายนั่นเอง ย่อมเกิดมาจากปัญญาและคุณสมบัติเป็นอันมากจักประมาณมิได้
เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
เกิดมาจากเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เกิดมาจากทาน ศีล ขันติ โสรัจจะ วิริยะ ฌาน วิมุตติ สมาธิ พหูสูต ปัญญาแลปวงบารมีธรรม
เกิดมาจากอุปายะ
เกิดมาจากฉฬภิญญา เตวิชชา และโพธิปักขิยธรรม๓๗
เกิดมาจากสมถวิปัสสนา
เกิดมาจากทศพลญาณ
เกิดมาจากจตุเวสารัชชญาณและอเวณิกธรรม๑๘
เกิดมาจากสรรพอกุศลสมุจเฉทธรรมและจากสรรพกุศลภาวนาธรรม
เกิดมาจากภูตตัตตวธรรม
เกิดมาจากอัปปมาทธรรมและวิสุทธิธรรมเป็นอเนกอนันต์ดังกล่าวมานี้
ยังพระตถาคตกายให้บังเกิดขึ้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาจักได้พระพุทธสรีรกาย และอาจตัดเสียซึ่งพยาธิโรคันตรายของสรรพสัตว์ได้ขาด ผู้นั้นพึงตั้งจิตปณิธานในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเถิด."
อัตตากับอนัตตามิได้เป็นธรรมแตกต่างกัน นี้คือความหมายแห่งอนัตตา ตามธรรมดาธรรมทั้งปวง ก็ไม่มีสภาพอุบัติขึ้น ฉะนั้น จึงไม่มีสภาพดับสลายไป นี้คือความหมายแห่งนิโรธ
กล่าวถือ ถ้าไม่มีอะไรเกิด ก็ไม่มีอะไรดับ แต่ในสภาพความเป็นจริงในวัฏฏสงสาร มีสภาพเกิดและดับ เนื้องด้วย ราคะ และการก่อเกิด จึงต้องมีการเปรยธรรม เพื่อถอดถอนสัตว์โลกออกจากวัฏฏสงสาร
การแสดงธรรมของ วิมลเกียรติคฤหบดี นี้ เป็นอีกมุมมองหนึ่งในด้านนิเสธตรรกะ ซึ่งในเชิงปฏิบัติ ยังมีการเกิดดับอยู่สืบต่ออยู่ จึงยังต้องมีการประกาศธรรมไป ดั่งเช่นที่ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี กระทำอยู่นั้น หาใช่ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่ อันเป็นความขัดแย้งในตัวธรรม ซึ่งต้นกับปลายไม่ชนกัน แต่สามารถ จบได้เช่นกัน
ก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ได้ถามท่านวิมลเกียรติคฤหบดีว่า “พระโพธิสัตว์ผู้ไปเยี่ยมเยียนพระโพธิสัตว์ผู้อาพาธอยู่ จักพึงปลอบโยนให้โอวาทด้วยประการฉันใดหนอ ?” ท่านวิมลเกียรติตอบว่า “พึงให้โอวาทถึงความอนิจจังแห่งสรีระแต่อย่ากล่าวให้เกิดความรังเกียจเอือมระอาในสรีระ พึงให้โอวาทพึงความเป็นทุกขังแห่งสรีระ แต่อย่ากล่าวให้เกิดความยินดีในพระนิพพาน* พึงให้โอวาทพึงความเป็นอนัตตาแห่งสรีระ แต่ให้กล่าวให้เกิดวิริยะในการโปรดสรรพสัตว์ พึงให้โอวาทพึงความเป็นสุญญตาแห่งสรีระ แต่อย่ากล่าวว่าโดยที่สุดสิ่งทั้งปวงเป็นสภาพดับรอบไม่เหลือ พึงให้โอวาทพึงการขมาโทษก่อน แต่อย่ากล่าวโทษเหล่านั้น ว่าเป็นสิ่งที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต พึงอาศัยความเจ็บป่วยของตนเอง เปรียบเทียบไปถึงความป่วยเจ็บของสรรพสัตว์ แล้วแลเกิดความกรุณาต่อสัตว์เหล่านั้น พึงย้อนระลึกพึงความทุกข์ที่ตนได้เสวยมาแต่เบื้องอดีตชาตินานไกล นับด้วยหลายอสงไขยกัลป์ป์แล้วตั้งจิตให้มั่นอยู่ในกิจ ที่จักบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์พึงระลึกถึงกุศลสมภารที่ตนได้สร้างสมมา ตั้งจิตอยู่ในวิสุทธิสัมมาอาชีวปฏิปทา อย่าให้เกิดความทุกข็โทมนัส พึงตั้งอยู่ในวิริยภาพดำรงตนเป็นจอมแพทย์ในอันจักรักษาบำบัดพยาธิภัยแก่ปวงสัตว์ พระโพธิสัตวึงปลอบโยนให้โอวาทแก่พระโพธิสัตว์ผู้อาพาธ ยังพระโพธิสัตว์ผู้อาพาธนั้นให้มีธรรมปีติบังเกิดขึ้นเป็นอยู่ ด้วยประการดังกล่าวนี้.”
ความป่วยนี้เป็นผลมาจากความไม่สมบูรณ์ของสัมมาทิฏฐิ ในมหายาน คือ ดับแต่ไม่ดับ ที่ยังดำรงอยู่ในหมู่สัตว์แม้ในพระโพธิสัตว์
หรือ กล่าวอีกในหนึ่งว่า ทำได้แต่ไม่ทำ ควรทำแต่ไม่ทำ ไม่ทำแต่ดันทำ
เป็นบทที่พระพุทธเจ้า ติเตียนพระโพธิสัตว์ ในเรือง ทิฏฐิ
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ว่า “ดูก่อนเมตไตรยะ ตถาคตมอบหมายพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมซึ่งสร้างสมมาตลอดอสงไขยกัลป์อันบ่อาจประมาณได้ให้ไว้แก่เธอ ณ กาลบัดนี้ อันพระสูตรมีนัยเภทดังกล่าวมาแล้วนี้ ในสมัยเมื่อตถาคตดับขันธปรินิพพานแล้ว เธอทั้งหลาย (ตรัสรวมผู้เข้าประชุมด้วย) พึงสำแดงอานุภาพ ประกาศแพร่หลายซึ่งธรรมนั้น ทั่วชมพูทวีปสืบไป อย่าให้ขาดถึงวิบัติเป็นอันขาด ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? ก็เพราะว่าถ้าในกาลอนาคตภายภาคหน้า จักมีกุลบุตรกุลธิดา กับทั้งทวยเทพ นาคา อสูร ยักษ์ คนธรรพ์ รากษส เป็นอาทิ ตั้งจิตมุ่งต่อพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีความยินดีในธรรมอันกว้างใหญ่นี้ สัตว์เหล่านั้น ถ้ามิได้สดับพระสูตรเห็นปานนี้ ก็เสื่อมจากประโยชน์อันพึงได้โดยแท้ ก็แลหารสัตว์เหล่านั้น ได้สดับพระสูตรดังกล่าวนี้แล้ว จักมีศรัทธาปสาทะมาก จักบังเกิดจิตที่หาได้ยาก น้อมเทิดทูนพระสูตรดังกล่าวด้วยเศียรเกล้าของเขา เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงประกาศให้แพร่หลาย ให้สมควรแก่ประโยชน์อันสรรพสัตว์จักพึงได้เกิด.”
“ดูก่อนเมตไตรยะ เธอพึงรู้ไว้ด้วยว่า อันพระโพธิสัตว์นั้น มี ๒ ลักษณะ ก็ ๒ ลักษณะนั้นเป็นไฉน ?
๑. คือ พระโพธิสัตว์ที่ยินดีเพลิดเพลิน ในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ.
๒. คือ พระโพธิสัตว์ที่มิได้ครั่นคร้ามหวาดกลัวต่ออรรถธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ สามารถจักเข้าถึงซึมซาบได้.
ก็พระโพธิสัตว์ใด ที่ยินดีเพลิดเพลินในเรื่องสำนวนอักขรโวหารบัญญัติ พึงรู้ได้ว่า เป็นพระโพธิสัตว์นวกะ พระโพธิสัตว์ใดปราศจากความเพลิดเพลินยินดี ปราศจากความยึดถือ ปราศจากความครั่นคร้ามในพระสูตรอันล้ำลึก สามารถเข้าถึงแก่นสารในพระสูตรนั้น ครั้นได้สดับซึ่งพระธรรมนั้นแล้ว ก็มีจิตสะอาดผ่องแผ้ว ธำรงรักษาไว้ได้ แลสาธยายเล่าบ่นกับทั้งอาจปฏิบัติตามธรรมดั่งกล่าว พึงรู้ได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์รัตตัญญู อบรมปฏิบัติโพธิสติยามานานกาล อนึ่งเมตไตรยะ !
ยังมีธรรมอยู่ ๒ ประการ ซึ่งนวกโพธิสัตว์มิสามารถตัดสินเด็ดขาดในอรรถธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพได้ ก็ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน !
๑. พระสูตรอันมีนัยล้ำลึกใด ซึ่งนวกโพธิสัตว์ได้สดับแล้วบังเกิดความครั่นคร้ามกังขา ไม่สามารถอนุโลมตาม แลกล่าวจ้วงจาบโดยไร้ศรัทธาว่า ธรรมเหล่านี้เราบ่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ได้มาจากผู้ใดกัน ? ประการหนึ่ง.
๒. บุคคลที่เขาอภิบาลซึ่งพระสูตรอันมีนัยล้ำลึก แลเขาแสดงประกาศซึ่งพระสูตรนั้น นวกโพธิสัตว์ก็ไม่ยอมเข้าใกล้ สักการบูชาบุคคลผู้นั้น อนึ่ง ยังกล่าวโทษตำหนิติเตียนบุคคลผู้นั้นอีกด้วยอีกประการหนึ่ง.
ก็ทั้ง ๒ ประการนี้ เธอพึงสำเหนียกไว้เถอะว่า เป็นการกระทำซึ่งทำลายตนเองของนวกโพธิสัตว์ ผู้ไม่สามารถควบคุมจิตของเขาในท่ามกลางธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพได้ อนึ่ง เมตไตรยะ ! ยังมีโทษอยู่อีก ๒ ประการ ซึ่งพระโพธิสัตว์ผู้ตัตตัญญูผู้มีศรัทธาเข้าใจในธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ แต่เป็นการทำลายตนเอง
มิสามารถบรรลุอนุตปาทธรรมกษานติได้ ๒ ประการนั้นเป็นไฉน ? คือ
๑. รัตตัญญูโพธิสัตว์ใด ดูหมิ่นนวกโพธิสัตว์ ไม่ว่ากล่าวอบรมสั่งสอนตักเตือนนวกโพธิสัตว์นั้น. ๒. แม้ว่าจะมีความเชื่อความเข้าใจในธรรมอรรถอันลึกซึ้ง แต่ยึดถือในวิกัลปลักษณะ นี้แลธรรม
๒ ประการ
พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ ครั้นได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วจึงกราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค อัศจรรย์ยิ่งนักแล้ว พระพุทธเจ้าข้า เป็นไปตามพระพุทธบรรหารโดยแท้ ข้าพระองค์จักเว้นจากโทษดังที่กล่าวมาแล้วจักเป็นผู้ธำรงรักษาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม ซึ่งพระสุคตเจ้าสร้างสมไว้นับอสงไขยกัลป์ประมาณมิได้ ในอนาคตกาลภายหน้าหากมีกุลบุตรกุลธิดาใด ผุ้ปรารถนาศึกษามหายานธรรม ข้าพระองค์จักยังเข้าให้ได้ถือเอาพระสูตรดังกล่าวนี้ไว้ในหัตถ์* แลด้วยกำลังแห่งอานุภาพจักยังเขาให้สามารถธำรงไว้สวดสาธยาย กับทั้งแสดงประกาศแก่ผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลอนาคตผู้ใดซึ่งสามารถธำรงไว้ซึ่งพระสูตรเป็นต้นดังกล่าวนี้ สามารถสวดสาธยายและประกาศแก่ผู้อื่น เขาพึงสำเหนียกว่า นี้เป็นอานุภาพบันดาลให้เป็นไปของข้าพระองค์ ผู้มีนามว่าเมตไตรยะพระพุทธเจ้าข้า.” พระบรมศาสดา ตรัสว่า “สาธุ ! สาธุ ! เมตไตรยะ ! เป็นดั่งที่เธอกล่าว ตถาคตอนุโมทนาสาธุการแก่เธอด้วย.”ลำดับนั้นแล บรรดาโพธิสัตว์ทั้งปวง ต่างก็อัญชลีกรกราบทูลขึ้นว่า“แม้พวกข้าพระองค์ก็เหมือนกัน พระเจ้าข้า เมื่อพระสุคตเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว จักประกาศพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมให้แผ่ไพศาลทั่วสรรพโลกธาตุในทศทิศ อนึ่ง จักเป็นผู้นำแก่ผู้ประกาศธรรมให้พระสูตรนี้ด้วย.”
สมัยนั้น ท้าวจาตุมมหาราช ก็กราบทูลขึ้นว่า“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในสถานที่ใด จักเป็นคามนิคมชนบทราชธานี บรรพต วนาสณฑ์ ป่าชัฏใด ๆหากจะมีซึ่งพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ก็ดี มีผู้สาธยายประกาศซึ่งพระสูตรนี้ก็ดี ข้าพระองค์จักนำบริวารมาสดับพระธรรมเทศนา ณ สถานที่นั้น ๆ พิทักษ์คุ้มครองบุคคลนั้น ภายในบริเวณภูมิดลโดยรอบร้อยโยชน์ จักป้องกันมิให้ภัยพาลมาก่อกวนได้ พระพุทธเจ้าข้า.”ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า“ดูก่อนอานนท์ เธอจงธำรงไว้ซึ่งพระสูตรนี้ แลประกาศแสดงให้แผ่ไพศาลเถิด.”พระอานนท์กราบทูลว่า “อย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ธำรงพระสูตรสำคัญไว้แล้วพระพุทธเจ้าข้า ก็พระสูตรนี้จักมีนามว่าอย่างไร ?” ตรัสว่า “อานนท์ ! พระสูตรนี้มีนามว่า วิมลเกียรตินิทเทสสูตร หรือ อจินไตยวิมุตติธรรมทวารสูตรเธอพึงทราบเอาไว้อย่างนี้แล เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงพระธรรมบรรยายนี้อวสานลง ท่านวิมลเกียรติคฤหบดี พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสารีบุตรเถรเจ้า พระอานนทเถรเจ้าเป็นอาทิ กับทั้งบรรดาทวยเทพ อสูรประชุมชนทั้งนั้น บรรดาที่ได้สดับพระพุทธภาษิต ต่างก็มีโสมนัสปรีดาร่าเริงในธรรม มีศรัทธาปสาทะ น้อมรับปฏิบัติตามด้วยประการฉะนี้แล.
ปริเฉทที่ ๑๔ ธรรมทายาทวรรค จบ.
วิมลเกียรตินิทเทสสูตร อวสาน.
แลดูด้วยจิตที่ปรุงแต่งในลักษณะ ก็ชื่อว่าเป็นสังขตธรรม ย่อมมีค่าเท่ากับอภิญญา ๕ ของพวกพาหิรลัทธิ หากพระคุณแลดูด้วยจิตไม่ปรุงแต่งในลักษณะ ก็ชื่อว่าเป็ฯอสังขตธรรม ย่อมไม่ควรที่จักมีการเห็นอะไรอีก
http://pantip.com/topic/30604202 คัมภีร์ของมหายาน ลลิตวิสตระ