Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
ช่วงสมัยพระพุทธเจ้า
ในช่วงต้นๆ ของสิทธัตถะนั้น ท่านถูกปิดล้อมความจริงต่างๆนานา และเสมือนถูกขังอยู่แต่ในปราสาท ไม่เห็นโลกภายนอก และถูกยัดเยียดปรนเปรอ ด้วย กามสุข ต่างๆนานา (ตามที่ พระพุทธเจ้าเล่าเอาไว้ในพระไตรปิฏก) จนวันหนึ่ง ท่านได้ออกเที่ยวและพบว่า ผู้คนที่เจ็บป่วย ชรา ถูกแยก หรือถูก กักกัน ไว้ ต่างหาก อีกเมืองหนึ่ง อันเนื่องมาจาก ท่านเอง ความรู้สึกผิดอันยิ่งยวด นี้ เพียงเพื่อปรนเปรอความสุขให้แต่เฉพาะท่านเพียงผู้เดียวนั้น ทำให้ทุกข์เกิดขึ้นและอัดแน่นเหลือจะทานทน ท่านจึงทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างออกบวช เพื่อหาหนทางกำจัดทุกข์ นี้จากตัวท่านเอง และ ประชาชนของท่าน

ในช่วงเวลา ของพระพุทธเจ้านั้น มี รูป นาม ความเชื่อที่มีมาก่อน ที่พระพุทธเจ้าไม่กระทบกระเทือนโดยตรง แต่ใช้ ความเชื่อที่มีมาแต่เดิมนั้น มาปรับปรุงเพื่อให้ผู้คนในยุคสมัยนั้นเข้าใจ และ เข้าถึง ในรูปธรรม และ นามธรรม ได้ เพราะอินเดียในยุคนั้น เป็นประเทศ ที่แบ่งชนชั้นวรรณะ อย่างชัดเจน ผู้มีฐานะต่ำกว่า มองดูการเป็นอยู่ของผู้สูงกว่าดุจดั่งเทพ ผู้มีฐานะสูงกว่า มองดูผู้มี่ฐานต่ำกว่า ดุจดั่งตกนรก ผู้คนที่ต่ำกว่า พยายามหาทางออกด้วย การก่อเกิดลัทธิต่างๆ ผู้คนที่ฐานะสูงกว่า ต้องการที่จะดำรง ฐานะเดิม นั้นไว้ หรือให้สูงยิ่งๆขึ้นไป จึงตั้งระบบเทพขึ้นมา เป็น นามธรรม ที่จับต้องไม่ได้ และ ห้ามจับต้อง รวมถึงการใช้ รูปธรรม หรือ สิ่งที่จับต้องได้ เป็นตัวแทน ความเชื่อ และ ศรัทธา ให้ก่อเกิด


พระพุทธเจ้า จึงทรง หลีกเลี่ยงการกระทบความเชื่อแต่เดิม โดยสมมติ เช่น

  • การสมมติ สภาวะพรหม ต่างๆ ให้อยู่ในรูปของ รูปพรหม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คือ สภาวะแห่งจิต ในระดับต่างๆ นั่นเอง
ในด้านของการสื่อภาษาต่างๆ เป็นไปตามยุคสมัยของพระพุทธเจ้าเอง ที่มาจากคัมภีร์ไตรเวท ที่มีเฉพาะ ชนชั้นกษัตริย์และชนชั้นพราหมณ์ ที่มีฐานะร่ำรวย สามารถร่ำเรียนได้ และกีดกัน ชนชั้นต่ำให้ได้รู้ได้เห็นศาสตร์แห่งความรู้ต่างๆ เพื่อด้วย ไม่ให้ชนชั้นต่ำเหล่านี้เอาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด เพราะชนชั้นต่ำมีจิตใจที่เลวทรามมาก แต่ถึงกระนั้นพระพุทธเจ้าได้เปิดโอกาสให้ ชนชั้นต่ำเฉพาะที่ผู้มีปัญญาได้ตาสว่างจากคำสอนของพระพุทธองค์

การศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าในภายหลังนั้น จักต้องเข้าใจการสื่อภาษาในสมัยนั้นให้ดีด้วย จึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่เลิศเลอจนเกินไป และไม่เลินเล่อจนเกินไป และไม่ซับซ้อนเกินกว่าจะปฏิบัติตามได้ เช่น

  • นิพพาน คือ การเสร็จสิ้นภาระใด ภาระหนึ่ง, ปลายทางแห่งความจริงทั้งปวง
    จักขุ คือ การหยั่งเห็นด้วยจิตด้วยใจ
    ญาน คือ การรู้ ได้ด้วยจิตด้วยใจ
    ปัญญา วิชชา คือ เกิดเป็นความรู้ เป็นศาสตร์หลักการ ขึ้น อโลโก คือ ความแจ่มแจ้ง แห่ง การเห็นการู้
    มรรค8 สัมมาทิฏฐิคิดเห็น-มีทัศนคติตรงตามจริง สัมมาสังกัปโปการตัดใจมุ่งมั่น สัมมาวาจารักษาสัจจะ สัมมากัมมันโตตั้งใจปฎิบัติ สัมมาอาชีโวดำรงชีพพอเพียงเฉพาะตน สัมมาวายาโมหมั่นเพียร สัมมาสติระลึกอยู่ตลอดเวลา สัมมาสมาธิสำรวมใจและกาย
    ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมชาตินั้นปราณีต เป็นที่สลัดคืนอุทปาทิทั้งปวง คือให้ธรรมชาตินำพา ชี้นำ สู่ความสงบ
    ผู้มีอายุ คือ ผู้มีพรรษา หรือ ได้รับการบวชแล้ว

    เป็นต้น...

ซึ่งเหล่านี้ เป็นความเข้าใจพื้นฐาน ของปราชญ์ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าและก่อนหน้า แต่ยังไม่มีใครนำมารวมหรือจัดหมวดหมู่ โยงความสัมพันธ์ ให้ลงตัว อย่างเป็นเหตุเป็นผลโดยอิสระ อย่างที่ทำกันในการเรียนการสอน ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ในปัจจุบัน คัมภีร์ไตรเวท จึงจัดเป็น ศาสตร์ ระดับปริญญาตรี

แต่ทำไม ผู้ที่แปลพระไตรปิฏก กลับทำให้ภาษา และความเข้าใจนั้น ซับซ้อนขึ้น กว่าต้นฉบับ โดยเกินจำเป็น? ซึ่งน่าจะเป็นเพราะห่วงว่า จะทำให้รากภาษาเดิมผิดเพี้ยน แต่ยิ่งยุคสมัยห่างออกไป ความเข้าใจของผู้คนต่อรากภาษาจะยิ่งห่างไกลตามออกไปด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบีน ซึ่งความห่างไกลนี้จะเป็นต้นต่อแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา

ด้วยสังคมประเพณีสมัยนั้น ชนชั้นได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น ชนชั้นสูง จะแต่งงานกันภายในครอบครัวญาติพี่น้อง ดังนั้นกษัตรย์ตามเมืองต่างๆ จึงเป็นวงศ์ตระกูลเครือญาติ ทำให้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเดินทางไปที่ใด มักได้รับการต้อนรับ เป็นอย่างดี และมีการสร้างโบสถ์วิหาร ให้ด้วย บวกกับที่มาจากชนชั้นกษัตริย์ จึงเป็นที่ให้การต้อนรับและยอมรับ และได้รับการอ่อนน้อมจากชนชั้นสูง ได้แก่ พรามหณ์ และ เศรษฐี

 

นอกจากนี้ ในการประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังมีอุปสรรคมากมาย ทั้งในตัวบุคคล และ ในคำสอน มีทั้งการ ประณาม การลอบทำร้าย การแย่งชิง การถูกคุกคาม การลองดีในวิชา การทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งภายในและภายนอก ตลอดระยะเวลาช่วงอายุ 35-80 ปี ทำให้พระพุทธเจ้าต้องออกกฏเกณท์ต่างๆ เพื่อควบคุม การคละกันระหว่างคนหมู่มากต่างชนชั้นกัน โดยเฉพาะในวรรณะต่ำ ให้รู้จักมีมารยาท เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห้นใจผู้อื่น(พรหมวิหาร4) เช่นเดียวกับ สังคมชั้นสูง และเน้นไปที่ต่างคนต่างอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของการคละกันระหว่างต่างชนชั้นกัน นั่นเอง เพื่อกันมิให้ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาอุปาทานแพร่กระจายไป เหมือน โรคระบาด สำหรับผู้มาใหม่ ผู้อยู่เก่า ผู้ต่างชนชั้น โดยพระพุทธเจ้าใช้วิธีการ "วัวหายแล้วจึงล้อมคอก" ที่เหมาะกับสังคมในยุคสมัยนั้น (เมื่อ วัฒนธรรมเปลี่ยนไป กฏเกณฑ์บางอย่าง ควรปรับแต่งแต่มิใช่แก้ไข ตามให้ทันด้วย)

  • พระพุทธเจ้าท่านเน้นแต่ต้นๆ ว่า เฉพาะผู้มีปัญญาอันเลิศ จึงจะเข้าใจคำสอน และ วิธีการ ของเรา
ดังนั้น ความเป็นจริง ของการเหลื่อมล้ำในสังสม และ ชนชั้น จึงมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย ไม่ได้แตกต่างจากในสมัยพระพุทธเจ้าเลย และ ยังเห็นได้ชัดเจนกว่า ในดินแดนที่พระพุทธเจ้าอาศัยอยู่ ความเหลื่อมล้ำและระดับจิตใจ นี่คือบรรยากาศหรือองค์ประกอบ แห่งการสร้างทุกข์ (ภพ) ซึ่งเป็นการยากที่จะทำการแก้ไขเพราะนี่เป็นสังคมแห่งสัตว์ พระพุทธเจ้าจึงเลือก ที่จะพัฒนาที่ตัวบุคคล ที่มีระดับปัญญาเพียงพอ ที่จะสามารถก้าวขึ้นสู่ จิตแห่งอริยะ หรือ จิตที่เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรม

ส่วนของพระพุทธเจ้าเองนั้น ท่านอาศัย ศรัทธา และกำลีงปัญญา มุ่งมั่นเพื่อช่วยเหลือประชาชนของท่าน หาทางให้พ้นทุกข์ และด้วยปัญญาบารมีของท่าน จึงทำให้ อินทรีย์ และ พละ ของท่านบริบูรณ์


พระสารีบุตรได้ กล่าวธรรมในเรืองการเข้าสมาธิไว้ดังนี้ (จากพระไตรปิฏก หน้า 407)

ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ประกอบด้วย
  1. การละ สุขกาย
  2. การละ ทุกข์กาย
  3. เพราะสุขใจ ดับ
  4. เพราะทุกข์กายดับ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
การเข้าเจโตวิมุตติ อันไม่มีนิมิตกำหนด
  1. การไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวง
  2. การใส่ใจธาตุอันไม่มีนิมิต
การตั้งอยู่ในเจโตวิมุตติ
  1. การไม่ใส่ใจในนิมิตทั้งปวง
  2. การใส่ใจธาตุอันไม่มีนิมิต
  3. การปรุงแต่งในกาลก่อน หรือ
    อีกนัยคือ การตั้งอธิษฐาน หรือ
    การกำหนดสมาธิ ต่างๆ
การออก
  1. การใส่ใจนิมิตทั้งปวง
  2. การไม่ใส่ใจธาตุอันไม่มีนิมิต
เจโตวิมุตติ อันไม่มีประมาณ เป็นอารมภ์ หรือ อีกนัย มีอารมภ์ได้หลากหลาย ซึ่งโดยรวมนั้น คือ ว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เป็นหลัก
  • ไม่มีอะไรเป็นอารมภ์
  • มีความสูญเป็นอารมภ์
  • ไม่มีนิมิตเป็นอารมภ์
  • ไม่มีกิเลสเป้นอารมภ์ เป็นต้น

พรรษาที่ ๑ ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสาวกและได้อรหันตสาวกจำนวน ๖๐ องค์แล้ว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณทำการประกาศเผยแผ่คำสอน จนเกิดพุทธบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างแพร่หลายและมั่นคง การประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป

พรรษาที่ ๒ พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชน ได้พุทธสาวกดังนี้ เสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางได้โปรดกลุ่มภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ที่ตำบลอุรุเวลาได้โปรดชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ อีก ๑๐๐๐ คน ทรงเทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวันเป็นที่อาศัยแด่คณะสงฆ์ และได้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังนครกบิฬพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธาราม ทรงได้สาวกอีกมากมาย เช่น พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์ พระเทวทัต และพระญาติอื่นๆ ต่อมาอนาถปิณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ได้ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาที่นี่

พรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่

พรรษาที่ ๔ ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ

พรรษาที่ ๕ เสด็จโปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล และทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะ เกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโหริณี ต่อมาทรงอุปสมบทพระนางประชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี

พรรษาที่ ๖ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษา ณ ภูเขามังกลุบรรพต

พรรษาที่ ๗ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาได้เสด็จไปทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

พรรษาที่ ๘ ทรงเทศนาในแคว้นมัคคะ ทรงจำพรรษาในเภสกลาวัน

พรรษาที่ ๙ ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี

พรรษาที่ ๑๐ คณะสงฆ์ในแคว้นโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง พระพุทธองค์ทรงตักเตือนแต่คณะสงฆ์ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิไลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา

พรรษาที่ ๑๑ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา

พรรษาที่ ๑๒ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา และเกิดความอดอยากรุนแรงขึ้นในเวลานั้น

พรรษาที่ ๑๓ ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต

พรรษาที่ ๑๔ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี พระราหุลขอผนวช

พรรษาที่ ๑๕ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร

 

พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี

พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาลวี และทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์

พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยังอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต

พรรษาที่ ๑๙ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บนภูเขาจาลิกบรรพต

พรรษาที่ ๒๐ โจรองคุลิมารกลับใจเป็นสาวก และทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์และทรงเริ่มบัญญัติวินัย

พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ทรงใช้เชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่และเป็นที่ ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ

พรรษาที่ ๔๕ เป็นพรรษาสุดท้าย พระเทวทัตคิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนต้องพระองค์เป็นเหตุให้พระบาทห้อพระโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวกโกมารภัต

 

https://manboonpongsri.wordpress.com/buddhism/ประวัติพระพุทธเจ้า

18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz