
ในช่วงเวลา ของพระพุทธเจ้านั้น มี รูป นาม ความเชื่อที่มีมาก่อน ที่พระพุทธเจ้าไม่กระทบกระเทือนโดยตรง แต่ใช้ ความเชื่อที่มีมาแต่เดิมนั้น มาปรับปรุงเพื่อให้ผู้คนในยุคสมัยนั้นเข้าใจ และ เข้าถึง ในรูปธรรม และ นามธรรม ได้ เพราะอินเดียในยุคนั้น เป็นประเทศ ที่แบ่งชนชั้นวรรณะ อย่างชัดเจน ผู้มีฐานะต่ำกว่า มองดูการเป็นอยู่ของผู้สูงกว่าดุจดั่งเทพ ผู้มีฐานะสูงกว่า มองดูผู้มี่ฐานต่ำกว่า ดุจดั่งตกนรก ผู้คนที่ต่ำกว่า พยายามหาทางออกด้วย การก่อเกิดลัทธิต่างๆ ผู้คนที่ฐานะสูงกว่า ต้องการที่จะดำรง ฐานะเดิม นั้นไว้ หรือให้สูงยิ่งๆขึ้นไป จึงตั้งระบบเทพขึ้นมา เป็น นามธรรม ที่จับต้องไม่ได้ และ ห้ามจับต้อง รวมถึงการใช้ รูปธรรม หรือ สิ่งที่จับต้องได้ เป็นตัวแทน ความเชื่อ และ ศรัทธา ให้ก่อเกิด
พระพุทธเจ้า จึงทรง หลีกเลี่ยงการกระทบความเชื่อแต่เดิม โดยสมมติ เช่น
- การสมมติ สภาวะพรหม ต่างๆ ให้อยู่ในรูปของ รูปพรหม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คือ สภาวะแห่งจิต ในระดับต่างๆ นั่นเอง

การศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าในภายหลังนั้น จักต้องเข้าใจการสื่อภาษาในสมัยนั้นให้ดีด้วย จึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่เลิศเลอจนเกินไป และไม่เลินเล่อจนเกินไป และไม่ซับซ้อนเกินกว่าจะปฏิบัติตามได้ เช่น
- นิพพาน คือ การเสร็จสิ้นภาระใด ภาระหนึ่ง, ปลายทางแห่งความจริงทั้งปวง
จักขุ คือ การหยั่งเห็นด้วยจิตด้วยใจ
ญาน คือ การรู้ ได้ด้วยจิตด้วยใจ
ปัญญา วิชชา คือ เกิดเป็นความรู้ เป็นศาสตร์หลักการ ขึ้น อโลโก คือ ความแจ่มแจ้ง แห่ง การเห็นการู้
มรรค8 สัมมาทิฏฐิคิดเห็น-มีทัศนคติตรงตามจริง สัมมาสังกัปโปการตัดใจมุ่งมั่น สัมมาวาจารักษาสัจจะ สัมมากัมมันโตตั้งใจปฎิบัติ สัมมาอาชีโวดำรงชีพพอเพียงเฉพาะตน สัมมาวายาโมหมั่นเพียร สัมมาสติระลึกอยู่ตลอดเวลา สัมมาสมาธิสำรวมใจและกาย
ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมชาตินั้นปราณีต เป็นที่สลัดคืนอุทปาทิทั้งปวง คือให้ธรรมชาตินำพา ชี้นำ สู่ความสงบ
ผู้มีอายุ คือ ผู้มีพรรษา หรือ ได้รับการบวชแล้วเป็นต้น...

แต่ทำไม ผู้ที่แปลพระไตรปิฏก กลับทำให้ภาษา และความเข้าใจนั้น ซับซ้อนขึ้น กว่าต้นฉบับ โดยเกินจำเป็น? ซึ่งน่าจะเป็นเพราะห่วงว่า จะทำให้รากภาษาเดิมผิดเพี้ยน แต่ยิ่งยุคสมัยห่างออกไป ความเข้าใจของผู้คนต่อรากภาษาจะยิ่งห่างไกลตามออกไปด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบีน ซึ่งความห่างไกลนี้จะเป็นต้นต่อแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา
ด้วยสังคมประเพณีสมัยนั้น ชนชั้นได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น ชนชั้นสูง จะแต่งงานกันภายในครอบครัวญาติพี่น้อง ดังนั้นกษัตรย์ตามเมืองต่างๆ จึงเป็นวงศ์ตระกูลเครือญาติ ทำให้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเดินทางไปที่ใด มักได้รับการต้อนรับ เป็นอย่างดี และมีการสร้างโบสถ์วิหาร ให้ด้วย บวกกับที่มาจากชนชั้นกษัตริย์ จึงเป็นที่ให้การต้อนรับและยอมรับ และได้รับการอ่อนน้อมจากชนชั้นสูง ได้แก่ พรามหณ์ และ เศรษฐี

- พระพุทธเจ้าท่านเน้นแต่ต้นๆ ว่า เฉพาะผู้มีปัญญาอันเลิศ จึงจะเข้าใจคำสอน และ วิธีการ ของเรา
ส่วนของพระพุทธเจ้าเองนั้น ท่านอาศัย ศรัทธา และกำลีงปัญญา มุ่งมั่นเพื่อช่วยเหลือประชาชนของท่าน หาทางให้พ้นทุกข์ และด้วยปัญญาบารมีของท่าน จึงทำให้ อินทรีย์ และ พละ ของท่านบริบูรณ์
ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติ ประกอบด้วย
- การละ สุขกาย
- การละ ทุกข์กาย
- เพราะสุขใจ ดับ
- เพราะทุกข์กายดับ
เกิดขึ้น | ตั้งอยู่ | ดับไป |
|
|
|
- ไม่มีอะไรเป็นอารมภ์
- มีความสูญเป็นอารมภ์
- ไม่มีนิมิตเป็นอารมภ์
- ไม่มีกิเลสเป้นอารมภ์ เป็นต้น
พรรษาที่ ๑ ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสาวกและได้อรหันตสาวกจำนวน ๖๐ องค์แล้ว พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณทำการประกาศเผยแผ่คำสอน จนเกิดพุทธบริษัท ๔ อันมี ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่างแพร่หลายและมั่นคง การประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง โดยการจาริกไปยังหมู่บ้านชนบทน้อยใหญ่ในแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป
พรรษาที่ ๒ พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชน ได้พุทธสาวกดังนี้ เสด็จไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ในระหว่างทางได้โปรดกลุ่มภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ที่ตำบลอุรุเวลาได้โปรดชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ กับศิษย์ อีก ๑๐๐๐ คน ทรงเทศนาอาทิตตปริยายสูตร ที่คยาสีสะ แล้วเสด็จไปยังนครราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวันเป็นที่อาศัยแด่คณะสงฆ์ และได้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก ๒ เดือนต่อมาเสด็จไปยังนครกบิฬพัสดุ์ ทรงพำนักที่นิโครธาราม ทรงได้สาวกอีกมากมาย เช่น พระนันทะ พระราหุล พระอานนท์ พระเทวทัต และพระญาติอื่นๆ ต่อมาอนาถปิณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ได้ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๓ นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่
พรรษาที่ ๔ ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ
พรรษาที่ ๕ เสด็จโปรดพระราชบิดาจนได้บรรลุอรหัตตผล และทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะ เกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโหริณี ต่อมาทรงอุปสมบทพระนางประชาบดีโคตมี และคณะเป็นภิกษุณี
พรรษาที่ ๖ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษา ณ ภูเขามังกลุบรรพต
พรรษาที่ ๗ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาได้เสด็จไปทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดายังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พรรษาที่ ๘ ทรงเทศนาในแคว้นมัคคะ ทรงจำพรรษาในเภสกลาวัน
พรรษาที่ ๙ ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี
พรรษาที่ ๑๐ คณะสงฆ์ในแคว้นโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง พระพุทธองค์ทรงตักเตือนแต่คณะสงฆ์ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิไลยยกะ มีช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ตลอดเวลา
พรรษาที่ ๑๑ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
พรรษาที่ ๑๒ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรัญชา และเกิดความอดอยากรุนแรงขึ้นในเวลานั้น
พรรษาที่ ๑๓ ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๔ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี พระราหุลขอผนวช
พรรษาที่ ๑๕ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะขัดขวางทางโคจร
พรรษาที่ ๑๖ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี
พรรษาที่ ๑๗ เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมายังอาลวี และทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ ๑๘ เสด็จไปยังอาลวี ทรงจำพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๑๙ ทรงเทศนาและจำพรรษาที่บนภูเขาจาลิกบรรพต
พรรษาที่ ๒๐ โจรองคุลิมารกลับใจเป็นสาวก และทรงแต่งตั้งให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์และทรงเริ่มบัญญัติวินัย
พรรษาที่ ๒๑-๔๔ ทรงใช้เชตวันและบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่และเป็นที่ ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแว่นแคว้นต่างๆ
พรรษาที่ ๔๕ เป็นพรรษาสุดท้าย พระเทวทัตคิดปลงพระชนม์ กลิ้งก้อนหินจนต้องพระองค์เป็นเหตุให้พระบาทห้อพระโลหิต ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวกโกมารภัต
https://manboonpongsri.wordpress.com/buddhism/ประวัติพระพุทธเจ้า