เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ
เทฺวเม (อ่านว่า ทเว-เม) ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
ไม่ควรเสพ, ไม่ควรพัวพัน กามะ คือสิ่งยั่วยวน เพลิดเพลินจนคิดเป็นสุข อันเกินจำเป็น
เป็นความมัวหมอง เป็นเหตุให้ตั้งอาณาบริเวณซึ่งแวดล้อมด้วยหมู่คนสังคมก่อให้เกิดความเป็นไปต่างๆนานาเต็มไปด้วยวุ่นวายสับสน ตามสภาวะแบบคนทั่วไป อันเป็น ปรปักษ์ต่อความสงบ และ เปล่าประโยชน์เอ เต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
อันเรานี้ ได้รู้ ความถูกต้องด้วยความเหมาะสมและเป็นจริงอันใหญ่หลวง ถึงการประพฤติปฏิบัติ อย่างเป็นกลางๆ อันซึ่งความพอดีเกิดการมองเห็นด้วยจิตระดับลึก หยั่งรู้ด้วยจิตภายในระดับลึก เข้าไปถึงความถูกต้องที่เกิดขึ้นภายใน จนหยั่งรู้ยิ่งในจิตระดับลึก ความรู้แตกฉานมากมายดุจดั่งต้นโพธิ์กิ่งก้านใบโพธิ์ จนบรรลุเสร็จสิ้นเป้าหมายทั้งปวงแห่งการแสวงหาของเรา ให้เป็นไปเช่นนี้กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
เราจะกล่าวอธิบาย การประพฤติปฏิบัติ อันเป็นความพอดีพอเหมาะ อันเป็นแนวทางกลางๆ ให้พวกเธอฟังอะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
ซึ่งก็คือ แนวทางนำไปสุ่ความศิวิไลหรือความเจริญแล้ว 8 ประการ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันโต, สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม, สัมมาสะติ, สัมมาสะมาธิ,
ก็คือ มีความเป็นสัมมา 8 ประการให้เป็นไปอย่างถูกต้องด้วยความเหมาะสม มีความคิดเห็นที่ถูกต้องมองทะลุข้ามความมัวหมองทั้งปวง กระตุ้นตัวเองให้ดำเนินและลงมือประพฤติปฏิบัติไปตามความถูกต้อง พูดจาเจรจาไปในทางที่ดีที่เหมาะที่ควรส่งเสริมให้จิตใดๆได้รับความสงบ กระทำการงานภาระกิจให้ได้มาซึ่งความสงบภายใน ดำรงตนดำรงชีพให้อยู่ในฐานแห่งความสงบไม่แกว่งไกว มีความขยันหมั่นเพียรในการประพฤติปฏิบัติไม่ย่อท้อในการดำรงอยู่ในความสงบ รักษาสติแบ่งแยกสภาพหนักหน่วงภายนอกและสภาพเสถียรคงที่ภายในตลอดเวลา มีใจจดจ่อหรือรู้อยู่ตลอดเวลาอะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ
...แปลแล้ว...อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง
อีกทั้ง การรู้ความเป็นจริงแห่งความประเสริฐแล้ว แห่งความเป็นทุกข์ อันมี ความเป็นทุกข์แห่งการเกิดการก่อให้เกิด ความเป็นทุกข์แห่งการเปลี่ยนแปลงสภาวะการเสื่อมของสภาวะ ความเป็นทุกข์แห่งการมาถึงของการสิ้นสุดจบลงแห่งสภาวะ อันดำเนินไปด้วย[โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายา สาปิ ทุกขา]
[อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข]
[ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข]
[ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง]
[สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา]
[ความโศกเศร้าความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายใจ ความคับแค้นใจ]
[ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์]
[ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์]
[มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์]
[โดยสังเขป อุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นทุกข์] อันมี รูปและนาม(ซึ่งเป็นผัสสะหรือสิ่งกระทบสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นต่างๆนานา) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน แต่ละตัวเป็นทุกข์ และประกอบกันให้เกิดสภาวะทุกข์ ทั้งสิ้น
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตฺระตัตฺราภินันทินี เสยยะถีทัง กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา
อีกทั้ง การรู้ความเป็นจริงแห่งความประเสริฐแล้ว ของต้นตอแห่งการเกิดทุกข์ แห่งการเกิดความทะยานอยากให้เป็นไปให้ดำเนินไป แห่งการก่อให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แห่งการมีกำหนัดอันมัวหมองให้หลงไปด้วยความเพลิดเพลิน แห่งการเพลินไปตามอารมภ์โดยไม่มีสติไม่หยุดหย่อนหยุดยั้งจนเลยเถิด ได้แก่ ความหนักหน่วงมัวหมอง ความอยากมีอยากเป็น การไม่อยากมีไม่อยากเป็นอิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย
อีกทั้ง การรู้ความเป็นจริงแห่งความประเสริฐแล้ว ของการทำให้จบสิ้นหมดสิ้นไปแห่งทุกข์ ทำให้สิ่งมัวหมองความทะยานอยากดับสิ้นไปไม่มีตกค้างเจือปน ทำให้สิ้นไปสลัดคืนกลับไปสู่สภาวะปกติสภาพเดิมอันเป็นธรรมชาติทั่วไป สละทิ้ง วางลง ปล่อยผ่านไปไม่ไปเกี่ยวเหนี่ยวโยงคาไว้ ไม่พัวพันรั้งยึดถาวรไว้
(ดับ สลัดคืน สละทิ้ง วางลง ปล่อย ไม่พัวพัน)อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
อีกทั้ง การรู้ความเป็นจริงแห่งความประเสริฐแล้ว ของการประพฤติกระทำ การจบสิ้นหมดสิ้นแห่งทุกข์ จนเป็นปกตินิสัย เป็นความเคยชิน สืบเนื่องโดยตลอดอะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ
บนพื้นฐานแห่งแนวทางศิวิไลซ์ของผู้เจริญแล้ว 8 ประการอิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อนึ่ง ความเป็นจริงแห่งทุกข์นี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดมาก่อน ทำให้ ได้มองเห็น ได้หยั่งรู้ซึ้งไปในจิต(ใน รู้สึก อารมภ์ นึกคิดที่จิตให้การยอมรับ) เกิดปัญญาขึ้น เกิดเป็นความรู้ ทำให้แจ่มแจ้งแทงตลอด(ในสิ่งที่ รู้สึก อารมภ์ นึกคิด นั้น)ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนี้ จึงต้องกำหนดรู้ ความเป็นจริงแห่งทุกข์ เพื่อเป็นไปเพื่อ ทำให้ ได้มองเห็น ได้หยั่งรู้ซึ้งไปในจิต เกิดปัญญาขึ้น เกิดเป็นความรู้ ทำให้แจ่มแจ้งแทงตลอดตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนี้ เราได้กำหนดรู้แล้ว ทำให้ ได้มองเห็น ได้หยั่งรู้ซึ้งไปในจิต เกิดปัญญาขึ้น เกิดเป็นความรู้ ทำให้แจ่มแจ้งแทงตลอดอิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อนึ่ง ความเป็นจริงแห่งต้นตอแห่งทุกข์นี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดมาก่อน ทำให้ ได้มองเห็น ได้หยั่งรู้ซึ้งไปในจิต เกิดปัญญาขึ้น เกิดเป็นความรู้ ทำให้แจ่มแจ้งแทงตลอดตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนี้ จึงต้องกำหนดละเสีย ซึ่งต้นตอแห่งทุกข์ ...ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนี้ เราได้ละเสียได้แล้ว อันซึ่งต้นตอแห่งทุกข์ ...อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อนึ่ง ความเป็นจริงแห่งการทำให้จบสิ้นดับสิ้นแห่งทุกข์นี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดมาก่อน ...ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ความเป็นจริงแห่งการทำให้จบสิ้นดับสิ้นแห่งทุกข์นี้ ควรทำให้แจ้ง ...ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ความเป็นจริงแห่งการทำให้จบสิ้นดับสิ้นแห่งทุกข์นี้ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว ...อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
อนึ่ง ความเป็นจริงแห่งการประพฤติปฏิบัติอยู่สม่ำเสมอในการดับทุกข์นี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ใดมาก่อน ...ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนั้น ควรเจริญและกระทำสืบเนื่องสม่ำเสมอ ...ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ
ดังนั้น เราได้เจริญและกระทำสืบเนื่องอยู่แล้ว ...ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ปัญญาอันรู้เห็น ตามเป็นจริงแล้วอย่างไร, ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา, ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว,เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปาชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เราจะยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ, ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก, เป็นไปกับด้วย เทวดา มาร พรหม, ในหมู่สัตว์ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้น,ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็เมื่อใดแลปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา, ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้หมดจดดีแล้ว,อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เมื่อนั้นเรายืนยันตนได้ว่า, เป็นผู้ตรัสรู้ พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ, ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก, เป็นไปกับด้วยเทวดา มาร พรหม, ในหมู่สัตว์ทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์,ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ
ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ว่าความหลุดพ้นอันวิเศษของเราไม่กลับกำเริบขึ้นอีก ไม่ก่อให้เกิดอัก, วงจรการก่อให้เกิดนี้ หรือ ชาตินี้ เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก,อิทะมะโวจะ ภะคะวา อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง อิมัสฺมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสฺมิง ภัญญะมาเน อายัสฺมะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว, พระภิกษุปัญจวัคคีย์, ก็มีใจยินดีเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ก็แลเมื่อไวยากรณ์นี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่, จักษุในธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน, ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ, ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา, สิ่งทั้งปวงนั้นมีอันดับไปเป็นธรรมดา,ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเนมิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิวา โลกัสฺมินติ
ก็ครั้นเมื่อธรรมจักรอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว, เหล่าภุมเทวดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น, ว่านั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้, อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว, ในป่าอิสิปตนะมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี, อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม, แลใครๆในโลกยังไม่ให้เป็นไปได้แล้วดังนี้,