เธอจงเสพที่นั่งอันสงัด เช่น ป่าละเมาะ ))))โคนม้าย ))))ภูเขา)))) ซอกห้วย ))))ท้องถ้ำ ))))ป่าช๊า)))) ป่าชัฏ)))) ที่แจ้ง)))) หรือล้อมฟางเถิด)))) นั่งคู้บัลลัง)))) ตั้งกายตรง)))) ดำรงสติเฉพาะหน้า )))) ไปสู่ป่า))) สู่โคนม้าย)))) หรือสู่เรือนว่าง)))) ให้เห็นประจักษ์ว่า)) ธรรมชาตินั่นสงบ)))) ธรรมชาตินั่นประณีต)))) ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง)))) เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง)))) อานาปานะสติ)) โดยมีสติรู้ หายใจเข้า ))))มีสติรู้ หายใจออก )))) โดยการมีสติระลึกว่า )) เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง )))) เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้สงบ ))รำงับอยู่)))) เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ )))) เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข )))) เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตะสังขาร )))) เราเป็นผู้ทำจิตตะสังขารให้สงบ))รำงับอยู่ )))) เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต )))) เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ )))) เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่))))เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ )))) เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ)))) เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ) เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ)))) เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ )))) เจริญอานาปานะสติ เป็นเหตุให้สติปัฏฐาน๔ )))) โพดช์ฌงค์๗ )))) วิชชา ))))และวิมุตติบริบูรณ์)))) โดยอาศัย วิเวก การไม่ถูกรบกวนจากภายนอกและภายใน)))) ความจางคลาย)))) ความดับ)))) สลัดคืน ))) เจริญอานาปานะสติทำให้ ไม่เหินห่างจากฌาน)))) เป็นสุขขะวิหาร)))) ระงับได้ซึ่งอกุศล)))) สามารถกำจัดบาปอะกุศลได้ทุกทิศทาง )))) ละ ได้เสียซึ่งความฟุ้งซ่าน )))) ))))ละ เสียได้ซึ่งความคับแค้น)))) วิหาระธรรมของพระอริยะเจ้า)) กายไม่โยกโคลง ))))จิตไม่หวั่นไหว )))) ธรรมเป็นเครื่องถอน มานะ ความถือตัวถือตนในปัจจุบัน)))) บ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด เพื่อทำให้เจโตวิมุตติบริบูรณ์ )))) ด้วยธรรมห้าประการ เป็นผู้มีมิตรดี ))))เป็นผู้มีศีลที่สำรวมแล้ว )))) เป็นผู้ได้มาซึ่งปราดถะหนาได้แก่ มักน้อย ))))เพียงพอ ))))สงัด)))) ไม่คลุกคลี ))))หมั่นเพียร ))))สำรวมในศึล ))))สมาธิ ))))ปัญญา ))))และวิมุตติ ))))) เป็นผู้มีความเพียรต่อการละอกุศลธรรม ))))) เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาในการเข้าถึงสัจจะธรรมแห่งการตั้งขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ และชำแรกกิเลสนั้นๆ จนดับไป ))))) เจริญธรรมสี่ประการดังนี้ยิ่งๆขึ้นไป เจริญอะสุภะเพื่อละราคะ)))) เจริญเมตตาเพื่อละพะยาบาท)))) เจริญอานาปานะสติเพื่อตัดวิตก)))) เจริญอะนิดจะสัญญา เพื่อถอนการยึดตัวตน)))) เมื่อเจริญอะนิดจะสัญญาแล้ว อะนัตตะสัญญาย่อมมั่นคง ))))) มักน้อย )))กิจน้อย))) เลี้ยงง่าย)))) สันโดษแห่งชีวิต)))) เป็นผู้มีท้องอันพร่อง)))) ตื่นอยู่เสมอ)))) แทงตลอดด้วยสัมมาทิฏฐิ)))) จิตแยกกายเห็นการไม่เกี่ยวโยง )))) ที่ก่อให้เกิดการขุ่นมัวใดๆได้ในจิต )))) ตามลำดับแห่งวิมุตติ )))) ธรรมมะสัญญา10ประการ ครอบคลุมถึง อะนิจจังแห่งขันธ์5)))) อนัตตาแห่งอายะตะนะ)))) ความไม่งามแห่งกาย)))) เห็นเจ็บเห็นโรคแห่งกาย ))))) ปะหานสัญญาโดยไม่ยอมรับไว้ซึ่งกามวิตก ))))พยาบาทวิตก)))) วิหิงสาวิตก)) คือ จ้องจดจ่อต่อการเบียดเบียน)))) อกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมละบรรเทากระทำให้สิ้นให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป)))) วิราคะสัญญา)) โดยสลัดคืนการก่อให้เกิดทั้งปวง จากตัณหา)))) ทำให้จางคลาย)))) จนดับเย็น)))) ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ให้เห็นประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง)))) นิโรธะสัญญาโดยการดับทั้งปวง จนเป็นความดับเย็น)))) ละอนุสัยหรือความเคยชิน โดยการงดเว้นไม่เข้าไปยึดถืออยู่ )))) โดยความสำคัญหรือสมมุติในโลกทั้งปวงคือสิ่งที่ไม่น่ายินดี))))) ย่อมอึดอัด )))ย่อมระอา )))ย่อมเกลียดชัง))) ต่อสังขารทั้งปวง))) เห็นความไม่เที่ยงในสังขาร))) ในฐานะแห่งการรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ))
เธอจงเสพที่นั่งอันสงัด เช่น ป่าละเมาะ ))))โคนม้าย ))))ภูเขา)))) ซอกห้วย ))))ท้องถ้ำ ))))ป่าช๊า)))) ป่าชัฏ)))) ที่แจ้ง)))) หรือล้อมฟางเถิด)))) นั่งคู้บัลลัง)))) ตั้งกายตรง)))) ดำรงสติเฉพาะหน้า )))) ไปสู่ป่า))) สู่โคนม้าย)))) หรือสู่เรือนว่าง)))) ให้เห็นประจักษ์ว่า)) ธรรมชาตินั่นสงบ)))) ธรรมชาตินั่นประณีต)))) ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง)))) เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง)))) ความปราณีตแห่งธรรมชาตินั้น ))))กลมกลืนกับกายและจิต)))) กายและจิตกลมกลืนสอดคล้องประสานกับความสงบแห่งธรรมชาติ ))))สอดคล้องประสานกับความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ))))ดั่งเช่นลมพัดในทุ่งหญ้าพริ้วไสว)))) ลมสงบทุ่งหญ้าหยุดการพริ้วไสว)))) การสะหลัดคืนการก่อเกิดทางกายและทางจิต)))) ทำให้กายและจิตจางคลาย)))) อาการกิริยาทั้งปวงกลับคืนสภาวะสู่ปกติ)))) มีสติตั้งมั่น มั่นคง ประกอบใจให้สงบระงับ)))) รู้เจโตวิมุตติ การสะหลัดคลาย ด้วยสมาธิความสงบ))))รู้ปัญญาวิมุตติ การสะหลัดคลาย ด้วยจิตใต้สำนึกให้การยอมรับต่ออะนัดตา))))อันเป็นที่ดับแห่งอกุศลธรรมทั้งปวง )))) คือวิโมก8 ทั้งอนุโลม และ ปฏิโลม)))) เข้าได้ ออกได้ ตามต้องการ ย่อมทำให้แจ้ง)) ซึ่งความหลุดพ้นด้วยสมาธิ (เจโตวิมุตติ) ))))และย่อมทำให้แจ้ง ซึ่งความหลุดพ้นด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ))))อันไม่มีอาดสะวะ )))) เมื่อ ละ ความยินดี ))))ความยินร้าย ได้)))) เสวยเวทนาก็ไม่ชื่นชม)))) ที่จะยึดถือเวทนา))))ที่จะยึดถือความพอใจ)) ))ความยึดมั่นถือมั่น)))) จึงดับไป )))) เป็นเหตุให้ดับภพ ))))ดับชาร์ติ ))))โดยลำดับ ))จนถึง ดับความคับแค้นใจ)))) นี่เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวง
สารีปุตตะเถระคาถา คาถาสุภาษิตของพระสารีบุตรเถระ พระสารีบุตรเถระ ครั้นสำเร็จแห่งสาวกบารมีญาณ ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระธรรมเสนาบดีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทำประโยชน์แก่หมู่สัตว์ วันหนึ่งเมื่อพยากรณ์อรหัตผลโดยมุขะ คือประกาศความประพฤติของตนแก่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาความว่า ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอันเป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่าภิกษุ ภิกษุเมื่อบริโภคอาหารจะเป็นของสดหรือของแห้งก็ตาม ไม่ควรติดใจจนเกินไป ควรเป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอประมาณ มีสติอยู่ การบริโภคอาหารยังอีก ๔-๕คำจะอิ่ม ควรงดเสีย แล้วดื่มน้ำเป็นการสมควร เพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว อนึ่งการนุ่งห่มจีวรอันเป็นกัปปิยะ นับว่าเป็นประโยชน์ จัดว่าพอ เป็นการอยู่สบายของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยว การนั่งขัดสมาธินับว่าพอ เป็นการอยู่สบายของภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ภิกษุรูปใดพิจารณาเห็นสุข โดยความเป็นทุกข์ พิจารณาเห็นทุกข์โดยความเป็นลูกศรปักอยู่ที่ร่าง ความถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนในอทุกขะมะสุขเวทนา ไม่ได้มีแก่ภิกษุนั้น จะพึงติดอยู่ในโลกอย่างใดด้วยกิเลสอะไร ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม ได้สดับน้อย ไม่เอื้อเฟื้อ อย่าได้มาในสำนักของเราแม้ในกาลไหนๆเลย จะมีประโยชน์อะไรด้วยการให้โอวาทบุคคลเช่นนั้นในหมู่สัตว์โลกนี้ อนึ่ง ขอให้ภิกษุผู้เป็นพหูสูต เป็นปราชญ์ตั้งมั่นอยู่ในศีล ประกอบใจให้สงบระงับเป็นเนืองนิตย์อยู่สม่ำเสมอ จงมาประดิษฐานอยู่บนศีรษะของเราเถิด ภิกษุใดประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า ยินดีในธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้นย่อมพลาดนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม ส่วนภิกษุใด ละ ธรรมเครื่องเนิ่นช้าได้แล้ว ยินดีในอริยมรรคอันเป็นทางไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้นย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม พระอรหันต์ทั้งหลาย อยู่ในสถานที่ใด เป็นบ้านหรือป่าก็ตาม ที่ดอนหรือที่ลุ่มก็ตาม สถานที่นั้นเป็นภูมิสถานที่น่ารื่นรมย์ คนผู้แสวงหากามย่อมไม่ยินดีในป่าอันน่ารื่นรมย์เช่นใด ท่านผู้ปราศจากความกำหนัด จักยินดีในป่าอันน่ารื่นรมย์เช่นนั้น เพราะท่านเหล่านั้นไม่เป็นผู้แสวงหากาม บุคคลควรเห็นท่านผู้มีปัญญาชี้โทษมีปกติกล่าวข่มขี่ เหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบกับบัณฑิตเช่นนั้น ย่อมมีแต่ความดีไม่มีชั่วเลย ปราชญ์ก็ควรโอวาทสั่งสอน ควรห้ามผู้อื่นจากธรรมที่มิใช่ของสัตบุรุษ แต่บุคคลเห็นปานนั้น ย่อมเป็นที่รักใคร่ของสัตบุรุษเท่านั้น ไม่เป็นที่รักใคร่ของอะสัตบุรุษ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้แล้ว มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมแก่ผู้อื่นอยู่ เมื่อพระองค์กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ เราผู้มุ่งประโยชน์ตั้งใจฟัง การตั้งใจฟังของเรานั้นไม่ไร้ประโยชน์ เราเป็นผู้หมดอาสะวะ เป็นผู้หลุดพ้นพิเศษ เราไม่ได้ตั้งความปรารถนาเพื่อปุพเพนิวาสญาณ ทิพจักขุญาณ เจโตปริยญาณ อิทธิวิธี จุตูปปาตะญาณ ทิพโสตญาณ อันเป็นธาตุบริสุทธิ์ มาแต่ปางก่อนเลย แต่คุณธรรมของสาวกทั้งหมดได้มีขึ้นแก่เรา พร้อมกับการบรรลุมรรคผล เหมือนคุณธรรม คือ พระสัพพัญญุตะญาณ ได้มีแก่พระพุทธเจ้า ฉะนั้น มียักษ์ตนหนึ่งมากล่าวว่า มีภิกษุหัวโล้นรูปหนึ่งชื่ออุปติสสะ เป็นพระเถระผู้อุดมด้วยปัญญา ห่มผ้าสังฆาฏิ นั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนม้าย สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้กำลังเข้าสมาบัติอันไม่มีวิตกในขณะถูกยักษ์ตีศีรษะ ก็ยังประกอบด้วยธรรมคือ ความนิ่งอย่างประเสริฐ ภูเขาหินล้วนตั้งมั่นไม่หวั่นไหวฉันใด ภิกษุย่อมไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขา เนื่องเพราะสิ้นโมหะ ก็ฉันนั้น ด้วยความนิ่งอันประเสริฐนี้ จักทำให้เห็น ความชั่วช้าเพียงเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏเหมือนเท่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า แก่ภิกษุผู้ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน แสวงหาความสะอาดเป็นนิตย์อย่างสม่ำเสมอ ความสะอาดแห่ง กาย ใจ และสภาพแวดล้อม ดำรงสติเฉพาะหน้า เสมือนเราไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต เราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะจักละทิ้งร่างกายนี้ไป ไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต รอคอยเวลาตายอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงาน ฉะนั้น ความตายนี้มีแน่นอนในสองคราว คือ ในเวลาแก่หรือในเวลาหนุ่ม ที่จะไม่ตายเลยย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญแต่สัมมาปฏิบัติเถิด มีสติดำรงเฉพาะหน้า เข้าถึงก้นบึ้งอันเปียมด้วยพรหมจรรย์ ขอจงอย่าได้ปฏิบัติผิดพินาศเสียเลย ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เมืองที่ตั้งอยู่ชายแดน เขาคุ้มครองป้องกันดีทั้งภายนอกและภายในอย่างระมัดระวังเข้มงวดฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงคุ้มครองตนฉันนั้นเถิด ขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะผู้มีขณะอันล่วงเลยไปเสียแล้ว ต้องพากันไปเศร้าโศกยัดเยียดอยู่ในนรก ภิกษุผู้สงบระงับ งดเว้นโทษเครื่องเศร้าหมองใจได้อย่างเด็ดขาด มีปกติพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องด้วยหัวใจสงบเรียบไม่กระเทือนภายใน ย่อมกำจัดบาปธรรมได้เหมือนลมพัดใบไม้ล่วงหล่นไป ฉะนั้น ภิกษุผู้สงบระงับ งดเว้นจากโทษเครื่องเศร้าหมองใจได้อย่างเด็ดขาด มีปกติพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องด้วยหัวใจสงบเรียบไม่กระเทือนภายใน ได้ลอยบาปธรรมเสียได้ เหมือนลมพัดใบไม้ล่วงหล่นไป ฉะนั้น ภิกษุผู้สงบระงับละเว้นกองกิเลสและกองทุกข์ ที่เป็นเหตุทำให้เกิดความคับแค้น มีใจผ่องใส ไม่ขุ่นมัว มีศีลงาม เป็นนักปราชญ์ พึงทำที่สุดทุกข์ได้ รวมถึง บุคคลอันไม่ควรคุ้นเคยด้วย ในบุคคลบางพวก จะเป็นคฤหัสถ์ หรือจะเป็นบรรพชิตก็ตาม หรือเบื้องต้นเขาจะเป็นคนดี ตอนปลายเป็นคนไม่ดีก็ตาม ย่อมทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว นิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทะหนึ่ง พยาบาทหนึ่ง ถีนะมิทธะหนึ่ง อุทธัจจะกุกกุจะหนึ่ง วิจิกิจฉาหนึ่ง เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองจิต ขุ่นมัวจิต สมาธิของภิกษุผู้มีปกติชอบอยู่ด้วยความไม่ประมาทไม่หวั่นไหวด้วยเหตุ ๒ประการ คือ ด้วยมีผู้สักการะหนึ่ง ด้วยไม่มีผู้สักการะหนึ่ง นักปราชญ์เรียกบุคคลผู้เพ่งธรรมอยู่เป็นปกติ พากเพียรเป็นเนืองนิตย์อยู่สม่ำเสมอ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาสุขุม สิ้นความยึดถือและความยินดีว่า เป็นสัตบุรุษ มหาสมุทรหนึ่ง แผ่นดินหนึ่ง ภูเขาหนึ่ง และแม้ลมหนึ่ง ไม่ควรเปรียบเทียบความหลุดพ้นกิเลสอย่างประเสริฐของพระศาสดาเลย พระเถระผู้ยังพระธรรมจักรอันพระศาสดาให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตาม ผู้มีปัญญามาก มีจิตมั่นคง เป็นผู้เสมอด้วยแผ่นดินและไฟ ย่อมไม่ยินดียินร้าย ภิกษุผู้บรรลุปัญญาบารมีธรรมแล้ว มีปัญญาเครื่องตรัสรู้มาก เป็นนักปราชญ์ผู้ใหญ่ ไม่ใช่เป็นคนเขลา ทั้งไม่เหมือนคนเขลา เป็นผู้ดับความทุกข์ร้อนได้ทุกเมื่อ ท่องเที่ยวไปอยู่ เรามีความคุ้นเคยกับพระศาสดามาก เราทำคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระหนักลงได้แล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพแล้ว ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นอนุศาสะนีย์ของเรา เราพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว จักปะรินิพพาน.