คำว่า อธิษฐานด้วยฌาน มีอธิบายว่า ก็พระโยคีนี้นั้นบำเพ็ญธรรมอันเป็นภูมิเป็นบาทเป็นบทและเป็นมูลแห่งฤทธิ์เหล่านี้ให้ถึงพร้อมแล้ว จึงเข้าฌานมีอภิญญาเป็นบาทออกแล้ว หากเธอต้องการจะนิรมิตตนเองให้เป็นคน ๑๐๐ คน ก็ต้องทำบริกรรมว่า สตํ โหมิ สตํ โหมิ เราจงเป็นคน ๑๐๐ คน เราจงเป็นคน ๑๐๐ คนเถิด แล้วเข้าฌานมีอภิญญาเป็นบาทอีก ออกแล้วจึงอธิษฐาน เธอพร้อมกับจิตที่อธิษฐานแล้วก็จะเป็นคน ๑๐๐ คนขึ้นมาทันที แม้จะให้เป็นคน ๑,๐๐๐ คนก็ทำตามแบบนี้แหละ ถ้าหากเมื่อเธอทำอย่างนี้แล้วไม่สำเร็จ ต้องทำบริกรรมใหม่ เข้าสมบัติซ้ำเป็นครั้งที่ ๒ อีก ออกแล้วจึงอธิษฐานเถิด แต่ในอรรถกถาสังยุตนิกายกล่าวไว้ว่า จะเข้าครั้งเดียวหรือสองครั้งก็ใช้ได้ ในการอธิษฐานจิตนั้น จิตซึ่งมีฌานเป็นบาทมีนิมิตเป็นอารมณ์ จิตที่บริกรรมมีร้อยคนหรือพันคนเป็นอารมณ์ก็ได้ แต่ก็อารมณ์เหล่านั้นแลเป็นด้วยอำนาจวรรณะ มิใช่ด้วยอำนาจบัญญัติ แม้จิตอธิษฐานมีคนตั้งร้อยคนหรือตั้งพันคนเป็นอารมณ์ก็เหมือนกัน จิตนั้นดุจอัปปนาจิต ซึ่งกล่าวแล้วในก่อนเกิดดวงเดียวเท่านั้น รองจากโคตรภูญาณ นับเข้าเป็นฌานที่ ๔ ชั้นรูปาวจร ก็แม้คำใดที่ท่านพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรคว่า ตามปกติคนคนเดียวนึกให้เป็นหลายคน คือ ตั้งร้อยคน ตั้งพันคน หรือตั้งแสนคน ครั้นนึกแล้วก็อธิฐานด้วยญานว่า พหุโก โหมิ เราจงเป็นคนมากคน ดังนี้ ย่อมกลายเป็นคนมากคนได้ เหมือนอย่างท่านพระจุลปันถก ในคำนั้น คำว่า นึก ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรคนั้นด้วยสามารถแห่งการบริกรรมนั่นแล คำว่า ครั้นนึกแล้วจึงอธิษฐานด้วยฌาน ท่านกล่าวแล้ว ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาฌาน เพราะเหตุนั้น พระโยคีนึกให้เป็นมากคนอยู่ ต่อแต่นั้นไปจึงเข้าสมาบัติในที่สุดแห่งจิตบริกรรมเหล่านั้น ออกจากสมาบัติแล้ว จึงนึกว่า เราจงเป็นคนมากคนอีก เบื้องหน้าแต่นั้นจึงอธิษฐานด้วยอภิญญาณดวงหนึ่ง ซึ่งได้นามว่า อธิษฐาน ด้วย
วิสุทธิมรรค
อ้างอิง พระไตรปิฏก เล่ม9 หน้า307... กล่าวถึงสัญญานึงเกิดขึ้น อีกสัญญานึงดับไป อย่างต่อเนื่องเมื่อได้ฌาน 1 สัญญาแห่งกามราคะ (อารมภ์ที่เย้ายวน พึงหลงใหล) ดับไป --> สัญญาแห่งปิติ (อารมภ์เอิบอิ่ม สามารถแสดงออกทางกายหรือใจได้) สัญญาแห่งสุข (อารมภ์แห่งความสงัด มิใช่แบบสุขเบิกบานแบบนั้นนี่เรียกว่าปิดิ)
ในฌาน 2 สัญญาอันสุขุม ซึ่งละเอียดเป็นจริงในปิติ และ สุขอันเกิดแต่ความสงัด ย่อมดับไป ---> สัญญาอันสุขุม ในปิติสุข อันเกิดแต่สมาธิ ย่อมมีขึ้น
ในฌาน 3 สัญญาอันสุขุม ในปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ ย่อมดับไป ---> สัญญาอันสุขุม อันเป็นจริงในอุเบกขา(วางเฉย)และสุข ย่อมมีขึ้น
ในฌาน 4 สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจในอุเบกขาและสุขย่อมดับไป --> สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจในความไม่สุขไม่ทุกข์ ย่อมมีขึ้น
ในอรูปฌาน 1 รูปสัญญาย่อมดับไป --> สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจในความไร้รูปเป็นอากาศธาตุ ย่อมมีขึ้น
ในอรูปฌาน 2 สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจ ในอารมภ์ที่มีอากาศไม่มีที่สิ้นสุด (ไร้รูป) ย่อมดับไป --> สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจในวิญญาณัญจายตนะ (มีวิญญานเป็นอารมภ์) ย่อมมีขึ้น
ในอรุปฌาน 3 สัญญาอันสุขุม เป็นสัจ ในวิญญาณังจายตนะ ย่อมดับไป --> สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจ ในอากิญจัญญาตนะ (ไม่มีอะไรเลย เป็นอารมภ์) ย่อมมีขึ้น
สัญญาแห่งตน พ้นจากสัญญานั้นๆ แล้วก็ถูกต้องสัญญาอันเลิศ(ถัดไป) โดยลำดับ เมื่อตั้งอยู่ในสัญญาเลิสแล้ว ก็คิดว่า การคิดไม่ดี ไมคิดดีกว่า เพราะเมื่อคิดปรุงแต่ง สัญญาอันเลิศก็จะดับไป สัญญาอันหยาบก็จะเกิดขึ้น เธอจึงไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง เมื่อไม่คิดไม่ปรุงแต่ง สัญญ่าอันเลิศนั้น ก็ดับไป สัญญาหยาบอันอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอจึงชื่อว่าถูกต้อง (ได้บรรลุ) นิโรธ (ความดับ)