ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรมจึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติดอย่าง วางใจ    สติ-แห่งจิต
เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที

換筋功 คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลิน
----------------------------------------

"อย่ากระทำเมื่อ หิวจัด โกรธจัด เครียดจัด เศร้าจัด เซ็งจัด

"ตำรา ยืดหดเส้นเอ็น" นี้ ท่านต้กม้อโจวซือ (พระโพธิธรรมมหาเถระ) เป็นผู้นำมาจากชมพูทวีป ท่านตักม้อเป็นชาวอินเดีย ได้เขียนตำรายืดหดเส้นเอ็นและตำราล้างพิษไขกระดูก ไว้ที่วัดเส้าหลิน ในสมัยพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้

เมื่อได้แปลตำราทั้งสอง ซึ่งเป็นภาษาบาลี มาเป็นภาษาจีนแล้ว เป็นตำราที่ฝึกยาก ต้องตั้งใจจริงๆ จึงจะประสบความสำเร็จได้ คำพูดของท่านตักม้อโจวซือพูดกับศิษย์ของท่านที่ฝึกว่า "คนนี้ได้แค่ผิวของเรา คนนี้ได้แค่เนื้อของเรา คนนี้ได้แค่กระดูกของเรา" และท่านอาจารย์พูดกับศิษย์ที่ชื่อฮุ่ยค้อของท่านว่า "เจ้าได้ไขกระดูกของเราไป" ความหมายที่ว่าเรียนยากก็เป็นเช่นนี้เอง

ตำราว่าด้วยการยืดหดเส้นเอ็นนี้ มีด้วยกัน 2 กระบวนท่า คือ


ตำรานี้ใช้สติเป็นที่ตั้ง อิริยาบถช้าๆ นุ่มนวล เป็นหัวใจของการบริหารลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆลึก และแผ่วเบา เป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้การบริหารเกิดประสิทธิภาพอย่างสมดุลทางเดินของพลัง
การเคลื่อไหวปลายนิ้วมือและเท้า จะเกิดพลังชีวิตเป็นกระแสตรงไปสู่อวัยวะภายในอย่างเป็นระบบ มนุษย์จะสามารถใช้จิตที่ฝึกเป็นสมาธิดีแล้ว กระตุ้นพลังชีวิตนี้ นำเลือดไปหล่อเลี้ยงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังที่แพทย์จีนโบราณเรียกว่า "ชี่กง" การบริหารร่างกายจึงจำเป็นต้องฝึกจิตไปด้วย เพื่อนำมารักษาโรคบางโรคให้หายได้อย่างง่ายดาย เพราะพลังปลายนิ้วทั้งหมดกระตุ้นให้เลือดและลมปราณเดินสะดวก ท่าเหล่านี้ จึงเหมือนการคุ้มครองอวัยวะทั้งหมด ให้ชะลอการเสื่อมโทรมได้ตามความสามารถของผู้ฝึกแต่ละคน ที่หมั่นเพียรฝึกฝนไม่ย่อท้อ เพราะฉะนั้น วิธีการฝึกจึงต้องให้ตัวตั้งตรงเสมอ ยิ่งไม่ไหวติงได้เท่าใดก็จะได้ผลมากเท่านั้น ส่วนอิริยาบถต้องช้าเหมือนการฝึกในกระบวนท่าที่หนึ่ง ลมหายใจก็เช่นกัน ต้องอย่าลืมว่าถ้าหายใจแรงๆเร็วๆ จะทำให้ลมปราณติดขัด บางครั้งหายใจไม่ออกทันที จะเกิดอาการเจ็บปวดมาก

ควรปิดปากสนิท ขณะฝึก ฟันล่างและฟันบนชิดกัน ปลายลิ้นดุนฟันไว้เบาๆ จิตต้องเพ่งเข้าภายในสะดือ (ตันเถียนกลาง) ตลอดเวลา ยามเดินลมปราณในท่าต่างๆ

การฝึกจิตของจีนโบราณ ท่านกำหนดศูนย์พลังแห่งชีวิต หรือลมปราณแล่นเข้าออกอยู่ 3 จุด โดยใช้ชื่อว่า

การฝึกที่ประสบความสำเร็จแล้ว 3 จุดนี้จะมีพลังชีวิตมหาศาล เดินถึงกัน และทรงพลังตลอดชีวิต เมื่อฝึกครบวงจรแล้วก็ต้องกลับที่เดิมคือ จุดตันเถียนกลาง สติจะช่วยให้ผู้ฝึกไม่วอกแวก เกิดความสงบทางใจ



"รู้รักษาตัวเป็นยารักษาโรค เส้นเอ็นแข็งแรง กระดูกแข็งแกร่ง"

กระบวนท่านั่ง : ล้างพิษเพิ่มไขกระดูก


ท่าที่ 1

ท่านี้ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตคล่องตัว หลุดพ้นอาการปวดเมื่อย ปวดหัว ตามัว เวียนหัว เป็นไข้บ่อยๆ
--------------------------------------------------


ท่าที่ 2

------------------------------------------------------


ท่าที่ 3
ทุกครั้งที่ฝึกหมดไปท่าหนึ่ง ก็ให้ขัดสมาธิเพชร กำมือไว้บนหัวเข่าทุกครั้งไป
เริ่มเหยียดขาให้ตรง เท้าตั้งตรงชิดกัน
- ค่อยๆ ขยับแขนทั้งสองยืดตรงไปข้างหน้าขนานกับเท้า โน้มตัวไปข้างหน้า โอบเท้าทั้งสองไว้อย่างช้าๆ และอย่าให้เอียง
- เริ่มใช้มือที่โอบอยู่ดึงเท้าเข้าหาตัว เท้าทั้งสองก็ต้านมือไว้ อย่างสุดแรง นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ค่อยๆหายใจออกพร้อมทั้งคลายทั้งมือออก แล้วหยุดพัก
*** อย่าเผลองอเข่า หรือเอียงไปมา
ท่านี้ จะทำให้เอวอ่อน หลังไม้แข็ง ทำให้ไตแข็งแรง
-------------------------------------------------------


ท่าที่ 4
- ขัดสมาธิเพชร กำมือบนเข่าตามเดิม
- ค่อยๆยกแขนขึ้น หงานมือประสานกันเหนือศีรษะ
- เริ่มเดินลมปราณจากจุดเริ่มต้น คือจุดตันเถียนกลาง แล่นตรงผ่านสะดือ แล้วแยกซ้ายขวา ไปสู่แขนทั้งสอง แล่นไปจนสุดปลายนิ้วแต่ละนิ้ว นิ่งอยู่สักอึดใจหนึ่ง จึงค่อยๆ ปล่อยแขนลงสู่ท่าเดิม


ท่านี้ ทำให้เส้นเอ็นตามลำแขนแข็งแรง
รักษาอาการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอก
-----------------------------------------------------


ท่าที่ 5
- ค่อยๆ เหยียดขาตรงไปข้างหน้า ห่างกันพอสมควร
- แขนทั้งสองไปด้านหลัง ประสานมือไว้ที่ก้นกบ หันฝ่ามือแนบเนื้อ
เริ่มใช้สองมือประสานกัน ถูขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ ถูขึ้นหายใจเข้า ถูลงหายใจออก ถูแรงๆ ช้าๆ ให้แขนและไหล่ยกขึ้นลงตามจังหวะของมือ แล้วเดินลมปราณ ไปตามมือและเส้นเอ็นบริเวณหลัง จะเกิดความร้อนผ่าวไปด้วย จะรูสึกสบาย


ท่านี้ ป้องกันไข้หวัด แรกเป็นจะหายได้เองไม่ต้องพึ่งยา และทำให้กล้ามเนื้อหลังทั้งหมดแข็งแรง มีภูมิต้านทานความเย็นที่จะจู่โจม
----------------------------------------------------


ท่าที่ 6
นั่งในท่าเดิม
- ค่อยๆเคลื่อนแขนมาที่หน้าท้อง สองมือประสานใต้สะดือ
- เริ่มเดินลมปราณจากจุดตันเถียนกลาง แล่นสู่อวัยวะเพศ

หยุดนิ่งสักอึดใจ เริ่มเดินลมปราณกลับสู่จุดเดิม พร้อมกับออกแรงดึงมือที่ประสานกันอยู่ โดยมิให้หลุดออกจากกัน แล้วนิ่งสักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆผ่นคลายอย่างช้าๆ

ท่านี้ ทำ 12 ครั้ง หากเป็นชาย สามารถควบคุมอารมณ์เพศได้ อย่างฉับพลัน ป้องกันการกระทำทางเพศชั่ววูบได้ หากเป็นหญิง จะไม่มีโรคอันเกิดจากบริเวณช่องคลอด มดลูก รังไข่ และทางเดินปัสสาวะ รักษาครรภ์ด้วย
--------------------------------------------------------



ท่าที่ 7
นั่งท่าเดิมไม่ไหวติง
- ค่อยๆเคลื่อนมือไปที่ข้างลำตัว หัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ ปลายนิ้วทั้ง 4 อยู่ด้านหน้า เหยียดตรง
- เริ่มหายใจแผ่วๆ ช้าๆ กดมือลงแนบพื้น ให้แขนออกแรงมากกว่าแรงกดของมือ ทำท่าว่าจะยกลำตัวท่อนบนขึ้นจากพื้น แต่เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น

เพื่อให้ลมปราณเดินไปตามบริเวณหน้าอก อึดใจสักครู่ ก็ค่อยๆผ่อนคลายแรงทั้งหมด พร้อมทั้งหายใจออกช้าๆ จิตไปอยู่ที่เดิม หยุดพักสักอึดใจ เริ่มต้นใหม่ 12 ครั้ง
การกำหนดให้พลังชีวิตแล้นไปพร้อมกับโลหิต หยุดนิ่งบริเวณหน้าอก ก็เพื่อให้โอกาสอ๊อกซิเจนทำงานในบริเวณนี้นานกว่าธรรมดา

ท่านี้ ทำให้ไม่มีความอึดอัดหลงเหลืออยู่
ป้องกันโรคบริเวณทรวงอก ปอดและหัวใจ
---------------------------------------------------------


ท่าที่ 8
- นั่งนิ่งๆ ในท่าเดิม หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆเคลื่อนแขนข้างหน้าแนบมือทั้งสองลงบนฝ่ามือ ปลายนิ้วชิดกัน ค่อยๆ หายใจออก
- เริ่มเดินลมปราณ พร้อมทั้งออกแรงที่แขน เพื่อให้ฝ่ามือกดฝ่าเท้าได้แนบสนิท ลมปราณเดินจากตันเถียนกลาง แล่นผ่านหัวเหน่า แล้วเวียนกลับสู่ที่เดิม หยุดพักหนึ่งอึดใจ
- ขั้นที่สาม เริ่มจากจุดเดิม ตันเถียนกลาง ชายเลี้ยวซ้ายลงเอว หญิงเลี้ยวขาวลงเอว วนรอบเอวหนึ่งรอบ กลับสู่จุดเดิม หยุดพักอึดใจหนึ่ง เริ่มต้นใหม่ ให้ได้ 9 ครั้ง
*** ผู้หญิง ให้วบขวาทุกกรณี ห้ามย้อนศรเป็นอันขาด
ท่านี้ จะทำให้ท้องแข็งแรง ถูกชกไม่เจ็บ หัวเข่าใช้งานได้ดี
---------------------------------------------------------


ท่าที่ 9
นั่งในท่าเดิม
- ค่อยๆ ยกแขนขึ้น มือจับบ่าไว้
- เริ่มออกแรงบีบบ่า พร้อมกับเดินลมปราณจากจุด ตันเถียนกลาง ไปสู่บริเวณหลังและไหล่ที่มือบีบอยู่ สักอึดใจหนึ่ง ก็ผ่อนคลายเอาแขนลงได้
- เหยียดขาไปด้านหน้า หยุดพักสักครู่


ท่านี้ ทำให้บริเวณไหล่ไม่ปวดเมื่อย ไม่เคล็ดขัดยอก
ไม่มีสิ่งตกค้างที่ จะทำให้เกิดปัญหาในภายหน้า
------------------------------------------------------


ท่าที่ 10
- คุกเข่า นั่งบนหลังเท้าที่แนบกับพื้น
- ค่อยๆ ยกแขนขึ้น มือจับราวนม
- เดินลมปราณจากจุดเดิมให้ไปบริเวณราวนม
- จินตนาการให้พลังชีวิตนำโลหิตเข้าสู่นมทั้งสองข้าง อย่างหนาแน่น
อึดใจสักครู่ แล้วจึงค่อยๆ ผ่อนคลาย ปล่อยจิตกลับสู่ที่ ตุนเถียนกลาง ทำดังนี้ 9 ครั้ง

ท่านี้ ป้องกันโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นกันมากในเวลานี้
-------------------------------------------------------


ท่าที่ 11
- คุกเข่าในท่านั่ง
- มือทั้งสองข้างเคลื่อนไปวางไว้ที่หัวเข่า
- เริ่มหงายหลังให้ศีรษะแหงนตามจนต่ำสุดเท่าที่ทำได้
- เดินลมปราณจากจุด ตันเถียนกลาง ผ่านสะดือ แล่นสู่หัวใจ แล่นต่อถึงลูกกระเดือก
แล้วสงบนิ่ง สักอึดใจหนึ่ง จึงค่อยๆผ่อนคลาย ตั้งตัวตรง จิตจับอยู่จุดเดิม ทำเช่นนี้ 9 ครั้ง

ท่านี้ เป็นประโยชน์มากสำหรับ ผู้ที่เจ็บคอบ่อยๆ
เป็นการป้องกันโรคที่เกิดกับคอ
---------------------------------------------------------


ท่าที่ 12
- นั่งในท่าสมาธิเพชร
- สองมือประกบกัน ถู 72 ครั้ง จนร้อนจัด
- เคลื่อนแขนมาแนบหลัง ยกชายเสื้อขึ้น สองมือแนบบั้นเอว
- หมุนมือ จากซ้ายไปขวา ถูจากบั้นเอวลงสู่ก้นกบ จากก้นกบสู่บั้นเอว 72 ครั้ง
แล้วเปลี่ยนหมุนมือจากขวาไปซ้ายถูอีก 72 ครั้ง
--------------------- จบกระบวนท่า --------------------


ท่านี้ ทำให้บริเวณบั้นเอวถึงก้นกบไม่เย็น ไม่เป็นโรคขัดหนัก
ฝึกทุกวันทำให้เส้นเอ็นบริเวณนี้แข็งแรง ลุกเดินเหินคล่องตัว-
---------------------------------------------------------------------------------------


ตัวอย่างเกี่ยวกับการจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรค

1. โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โดยทั่วไปชีพจรจะลอยสูงเน้นเร็วเกินไป ความดันโลหิตยิ่งสูง ชีพจรก็จะยิ่งเต้นเร็วเป็นเงาตามตัว ดังนั้นโรคหัวใจกับความดันโลหิตสูง จึงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ชีพจรของคนปกติจะเต้นอยู่ระหว่าง 60 ? 80 ครั้งต่อนาที มีการเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเต้นอย่างลึก ๆ และอย่างมีแรง ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจผู้สูงอายุ และผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การเต้นของชีพจรจะอยู่ในระหว่าง 60 ครั้งต่อนาที แต่เต้นอ่อน และผู้ป่วยที่เป็นโรความดันโลหิตต่ำการเต้นของชีพจรก็จะมีกำลังอ่อนเช่นกัน

2. โรคประสาท โรคจิต โรคไต ชีพจรจะเต้นเร็วบ้างช้าบ้างไม่สม่ำเสมอ

3. โรคเกี่ยวกับโลหิต เกี่ยวกับน้ำเหลือง ชีพจรเต้นช้ามีแรงอ่อนมาก จนกระทั่งบางรายคลำดูไม่รู้สึกว่าเต้น บางราย ชีพจรทางซ้ายกับขวาเต้นไม่เหมือนกัน เมื่อชีพจรทางซ้ายและขวาขัดกันเช่นนี้ การหมุนเวียนของโลหิตก็จึงติดขัด

4. โรคอัมพาต คนที่เป็นลม มักมีชีพจรทั้ง 2 ข้างต่างกัน บางรายการเต้นของชีพจรแต่ละข้างต่างกันถึง 20 ครั้งต่อนาที ซึ่งเกี่ยวโยง กับโรคไขข้ออักเสบเหมือนกัน เมื่อข้างหนึ่งทางเดินของเลือดติดขัดไม่สะดวก อีกข้างหนึ่งก็จะมีกำลังกดดันมากขึ้น

โรคดังกล่าว เหล่านี้ล้วนสามารถรักษาให้หายได้โดยการฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น

เคล็ดลับพิเศษของคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ข้อพิเศษของ คัมภีร์คือ ?บนสาม ล่างเจ็ด? ส่วนบน ?ว่างและเบา? เรียกว่า ?บนสาม? แต่ส่วนล่างแน่นและหนัก เรียกว่า ?ล่างเจ็ด? การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วจึงแกว่งแขนทั้งสองข้าง

ด้วยเคล็ดลับพิเศษนี้แหละ ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเพราะส่วนบนแข้งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นผู้ที่มีส่วนล่างแข็งแรงและส่วนบนกระชุมกระชวย อันเป็นลักษณะที่ถูกต้องซึ่งจะทำให้โรคพัยทั้งหายในร่างกายถูกขจัดออกไปเอง จนหมด

อธิบายเคล็ดลับพิเศษ ?บนสาม ล่างเจ็ด?
คำว่า ?บนสาม ล่างเจ็ด? หมายถึง อัตราส่วนเปรียบเทียบการออกแรงมากและน้อย
?บน? คือส่วนบนของร่างกาย หมายถึง มือ
?ล่าง? คือ ส่วนบ่างของร่างกาย หมายถึง เท้า
?สาม? หมายถึง ใช้แรงสามส่วน
?เจ็ด? หมายถึง ใช้แรงจ็ดส่วน

เคล็ดวิชาคำว่า ?บนสาม ล่างเจ็ด? มีความหมาย 2 ประการ คือ

ประการที่ 1 ในการออกแรงแกว่งแขน หมายถึง เวลาแกว่งแขนขึ้นข้างบน ใช้แรงเพียงสามส่วน เวลาแกว่งแขนลงต่ำมาล่าง ใช้แรงเจ็ดส่วน

ประการที่ 2 ในการออกแรงทั้งตัว หมายถึง ถ้านับกันทั้งตัวการออกแรงก็มีอัตราส่วนเปรียบเทียบ คือ บน : ล่าง เท่ากับ 3 : 7 (บนต่อล่าง เท่ากับสามต่อเจ็ด) คือแกว่งแขนไปข้างหน้านั้น จะเบาหรือแรงก็ตาม แต่มือจะต้องให้ได้ส่วนกับเท้า ในอัตราความแรง 3 ต่อ 7 อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากแกว่งมือแรง เท้าก็ต้องอกแรงยิ่งกว่านั้น นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า ?ส่วนบนว่าง ส่วนล่างเบา? หรือ ?บนสามบ่างเจ็ด? ถ้าแขนออกแรงแต่เท้าไม่ออกแรงเป็นการบริหารที่ไม่สมบูรณ์แบบ คือรู้จักใช้แต่แขนลืมใช้เท้า กรณีนี้จะทำให้ยืนได้ไม่มั่นคง ทำให้รู้สึกคล้าย จะหงายหลังล้ม การที่ไม่ต้องการให้ออกแรง มิใช่ว่าจะปล่อยเลยทีเดียว การที่ให้ออกแรงก็มิใช่ว่าให้ออกแรงจนสุดแรงเกิด การปล่อยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายโดยไม่ออกแรงเลยจนนิดเดียวก็จะไม่ได้ผล เพราะผิดหลัก ผิดอยู่ที่อัตราส่วนเนื่องจากแรงที่เท้าน้อยไป คือ ออกแรงเท้าเท่ากับส่วนบนนั่นเอง หรือหากแขนจะออกแรงมากไปสักหน่อยก็จะกลับตาละปัตร กลายเป็นว่าส่วนล่างว่างส่วนบนแน่น

การแกว่างแขน ข้อสำคัญต้องระวังที่แขนให้มาก เมื่อต้องการให้ออกแรงก็มักจะคิดแต่การออกแรงที่แขน ลืมไปว่ายังมีเท้า ยังมีเอวที่จะต้องมีส่วนช่วยการเคลื่อนไหวเหมือนกัน

การเคลื่อนไหวออกแรงของเท้าและเอวนี้สำคัญมากกว่าแขนเสียอีก การที่กล่าวเช่นนี้บางท่านอาจไม่เข้าใจ หากเคยฝึกมวยจีน ไทเก็กหรือศึกษาหลักการแพทย์จีนสมัยโบราณเกี่ยวกับเส้นเอ็นและชีพจนแล้วก้จ ะเข้าใจได้ไม่ยากนัก แขนที่แกว่งนั้นจะแกว่งไปจากเอวของเรา แต่รากฐานของเอวอยู่ที่เท้าเมื่อเป็นเช่นนี้หากส่วนบน (แขน) ออกแรงแกว่งสะบัด แต่ส่วนล่าง (เท้า) ไม่ออกแรงยึดเกาะพื้นไว้ ให้มั่นคงเราก็จะเสียการทรงตัว ขาดความสมดุลย์กัน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง จำนวนไม่น้อย ก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุลย์ เป็นอัมพาตก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุลย์เช่นกัน ความดีเด่นของการแกว่งแขนที่ปรากฏออกมาให้เห็นชัดก็คือ สามารถช่วยแก้ไขและปรับความไม่สมดุลย์ต่าง ๆ ของร่างกายนั่นเอง

เมื่อเราจะแก้ไขและปรับความสมดุลย์ของร่างกายแล้ว ทำไมจะต้องออกกำลังเท้าด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของคนเรามีจุด ซึ่งทางแพทย์จีนเรียกว่า ?จุดน้ำพุ? จุดนี้ติดต่อไปถึงไต หากหัวใจเต้นแรงหรือนอนไม่หลับ ถ้าทีการบีบนวด ตรงจุดน้ำพุน ี้ก็สามารถ ทำให้ประสาทสงบ ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับได้ ตามตำรายังกล่าวไว้ว่า ?ที่ฝ่าเท้ามีจุดอีกหลายจุด เกี่ยวโยงไปถึง อวัยวะภายในของคนเรา? เมื่อเราทราบตำแหน่งของจุดนั้น ๆ แล้วก็จะสามารถรักษาโรคซึ่งเกิดกับอวัยวะเหล่านั้นได้เช่นกัน

ดังนั้นการออกกำลังโดยวิธีแกว่งแขนก็คือการปรับร่างกายให้สมดุลย์ ซึ่งเป็น ?การบำบัดรักษาโรคนั่นเอง?

คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย

เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้ ของระบบภูมคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจากตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรองเเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน

หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนเเละสังเกตุได้ชัดเจนได้เเก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักเเร้ใต้หัวไหล่ ท้องเเขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ

เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั้ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกายเเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม

การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้่ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การนวดเเผนไทย

ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้็็ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษ ตกค้างสะสมนั่นเอง