![]()
กลไกนี้ เป็นกลไกแรกที่ค้นพบในสมาธิ แม้ยังไม่สมบูรณ์ซะทีเดียว แต่ก็ทำให้เข้าใจถึงโครงสร้างหยาบๆได้
เมื่อ จิต และ กาย แยกจากกัน เราเห็น สิ่งนี้
![]()
ตั้งอยู่ใน ศึล สมาธิ จนได้ ฌาน 1 ถึง 4 ผู้นั้นไม่กำหนัด ในรูปที่น่ารัก ไม่ขัดใจในรูปที่ไม่น่ารัก มีสติตั้งมั่น
รู้เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับแห้งอกุศลธรรมทั้งปวง เมื่อ ละ ความยินดี ความยินร้าย ได้
เสวยเวทนาก็ไม่ชื่นชม ยึดถือเวทนา ความพอใจ ความยึดมั่นถือมั่น จึงดับไป เป็นเหตุให้ดับภพ ดับชาติ โดยลำดับ
จนถึง ดับความคับแค้นใจ นี่เป็นความดับแห้งกองทุกข์ทั้งปวง
เสพเสนาอันสงัดนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ชำระจิตจากนิวรณ์ 5
จากพระไตรปิฏก หน้า 402 มหาอัสสปุรสูตร
เจโตวิมุตติ คือ การหลุดพ้นด้วยสมาธิ หรือ เมื่อเห็นความบริสุทธิ์แห่งจิต (มิใช่เห็น จิต เพราะบางทีจิตยังมัวหมองก้อมี)
ปัญญาวิมุตติ คือ การหลุดพ้นด้วยปัญญา
ละมลทิน 12 ประการ สำหรับ สมณะ
อภิชฌา (เพ่งอยากได้) พยาบาท(ปองร้าย) โกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่บุญคุณท่าน ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ มักอวด(พูดมาก) มายา(ลวง เสแสร้ง) ปราถนาลามก เห็นผิด
การดับสัญญา
ลำดับการเกิดขึ้นของสัญญา นั้นมาจาก
สัญญา > จึงเกิด สมมติ อุปทาน > เกิดอัตตา ตัวตน > เกิด รู้ > เกิดยึดติด > จึง จดจำ
การก่อเกิดสัญญา ก่อนหน้านั้น มาจาก ผัสสะ > เวทนา > วิญญาน บันทึกเป็นอารมภ์แห่งสัญญา
กิเลส เป็นเสมือนบ่อลาวา เป็นพลังขับก่อให้เกิด อารมภ์ เปรียบเหมือนดาวฤกษ์ ที่ แผ่ อนุภาครังสีออกไป ดุจเช่น อารมภ์ที่แผ่รังสีออกไป
เมื่อเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ จนถึงที่สุด ไม่มีใคร สามารถตอบคำถามเราได้ ไม่มีใครสามารถเข้าถึงเราได้ ไม่มีใครสามารถทำให้กิเลสเรานั้นบรรลุ ทุกๆ ความปรารถนา การค้นหาจึงเริ่มต้นขึ้น สุดท้าย จะเห็น ผู้เล่นอยู่สองตัว คือ จิต และ กิเลส 10 ซึ่งบ่อธาตุร้อนแห่งกิเลส นี้ จะคอยปลดปล่อย กระแสไอของกิเลส ออกมา ครั้งแล้วครั้งเล่า คลุกเล่นอยู่กะจิต วนไปวนมา เพื่อให้จิตเพลิดเพลิน ไม่เหงา ต่อความโดดเดี่ยว และไม่หยุดนิ่ง สิ่งนี้ถือเป้นปกติ ปัญหาที่เกิดหรือทุกข์ที่เกิดตามมานั้นเป็นผลพวงตามมา จากการ ยึดติด จึงเกิดวิบากขึ้น
แล สุดท้าย ความทะยานอยาก เพื่อให้บรรลุ ความปราถนา ต่อความสันโดษ ซึ่งเป็นตัวกิเลสเอง คือ ต้อง ดับสหายกิเลส รอบข้าง ภายในขันธ์นั้นๆ (ซึ่ง กิเลสภายในนี้ ไม่ได้มีตัวตนจริง อยู่ในธรรมชาติ เป็นสมมติอุปทานที่ คิดว่าเป็น และ คิดว่า มี เพื่อต้องการ ดับ ให้จิต เกิดความสงบ เป็น ระยะๆ ไป)![]()
มี มิติของ พลังงาน-ชีวิต ซ้อนอยู่ ตอนที่ กายดับ ปกติ พลังงาน-ชีวิต ควรสลายแปรรูปไปเป็นพลังงานธรรมชาติอื่นๆ แต่เนืองจาก การยึดติดกับการเสพ ความหลงไหล จึงทำให้ พลังงาน-ชีวิต นี้ ยังคง วน อยู่ตาม ภพ และร่วมกันจินตนาการสร้าง วิมานแห่งปราถนาต่างๆ นานา หรือ ที่เรียกว่า สรวรรค์ ด้วยพลังงานตัวนี้ ที่ได้เรียนรู้ ตามความเชื่อนั้นๆ จึงเกิดการหลงผิด และ ยึดติด เรืองเล่าเดิมๆ![]()
ฐานของจิต หรือ พลังงาน-ชีวิค หรือ จิตเดิม หรือ อื่นๆ แล้วแต่จะสมมติเรียกนั้น แรกเริ่มนั้น เป็นพลังงานอิสระและแน่นิ่ง ในอวกาศเคลื่อนที่ล่องลอยไปในหลายมิติ ระหว่างการเดินทางนั้นผัสสะต่างๆ เช่น คลื่น ความร้อน รังสี เวลา เข้ามากระทบที่พื่นผิว เสมือนทำให้พื่นผิวนี้เดือดพล่าน ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดรูปแบบจดจำทางธรรมชาติ เกาะไปกับพลังงาน-ชีวิต นี้ จนเข้ามาพบกับการเกาะเกี่ยวกับรูปขันธ์ กระบวนเดือดพล่านรอบนอกของฐานของจิตนี้ จะทำให้แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบของอารมภ์ เมื่อมีเศษของพลังงานหลุดออกมา พลังงานที่หลุดออกมานั้น หลุดออกมาอย่างต่อเนื่อง เนื้องจากพื้นผิวของฐานของจิตเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา จากผัสสะที่เข้ามากระทบไม่หยุดหย่อน และเมื่อสังขารดับ จิตดวงสุดท้ายนี้เอง ที่จะนำพาฐานของจิต ไปเกาะเกี่ยวกับขันธ์ใหม่ ไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น ด้วยความหลงมัวเมา ต่อ ผัสสะ นั่นเอง การเข้าไปดับสัญญา คือการเข้าไปทำความรู้จักกับ pattern ที่เกาะที่ฐานของจิต ที่เกิดจากการจดจำทางธรรมชาติตามเส้นทางที่จิตนั้นเดินทางผ่านมา นับแต่วาระแรกของจิต หรือ ที่เรียกกันว่า ปัญญาแห่งจิตในบางครั้ง รังสีของความเดือดพลาน ของจิตๆ หนึ่ง สามารถเปล่งประกายแผ่ออกมา ให้สัมผัสได้ เหมือนกัน
![]()
โพชฌงค์ 7
- สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
- ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
- วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
- ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
- ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
- สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์ เราเรียก สิ่งนี้ว่า จิตควบแน่น
- อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง