ทางลัด สามารถฟังคลื่นเบต้า ในช่วงต้น เพื่อจัดเรียงเส้นแรงสนามแม่เห็ลกไฟฟ้าสมอง ก่อนได้

ดำเนิน 4 ท่า ให้บริบูรณ์ ยืน เดิน นั่ง นอน
เมื่อผ่อนคลายแล้ว จะเข้าสู่ฌาน(เคลิ้มจะหลับ) จะเกิดอาการ ตาเปิด หูเปิด และหัวใจเปิด นำ
พระพุทธเจ้าสอนอะไร
- สอนให้เอา กิเลส ออก จาก จิต
- สอนวิธีการ คือ อริยะสัจ 4
- สอนให้มีสติ เพื่อให้เพียงรู้ถึง สิ่งเหล่านี้ เพียงรู้เท่านั้น และรู้ทัน
ก่อนหน้า จะสรุปเป็น อริยะสัจ 4 นั้น พระพุทธเจ้าท่านทรง ทำอะไรมาบ้าง
- ไม่เห้นทุกข์ ไม่เห็นเรา คือ ถ้าไม่อยู่ในอารมภ์ทุกข์ จะไม่เห็นภายในตัวเราเอง
- ทั้งหมด เป็น สมมติและอุปทาน เป็น อนัตตา ทั้งสิ้น ไม่สมควร ยึดตาม ถือตาม จดจำเป็นสัญญา
- สืบทานความรู้ ได้แก่ ขันธ์ 5, เหตุและปัจจัย, (ไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าพูดถึงตอนไหน?) วิธีเผยแพร่ไปสุ่หมู่ปัญญาชน, วิธีดำรงชีพอยู่ได้โดยตัวเองและหมู่คณะ
- แรกๆ นั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสถึงนิพพาน ภายหลังได้ยืมคำมาจาก พราหมณ์ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจในสมัยนั้นว่า ปลายทางนั้นคือ อะไร จริงๆแล้วถ้าบอกเพียง เอากิเลสออก คนจะไม่สนใจ เพราะไม่รู้จะได้อะไร
จะดำเนินปฏิบัติอย่างไร
- เข้าใจ 3 สภาวะได้แก่ ทุก อนิจจัง อนัตตา ... นี่คือ การมีสติ นั่นเอง!
- สภาวะหนักหน่วง ทางลมหายใจ ทางหัวใจ ทางนึกคิด และทางเกร็งของลูกตาและอุณาโลม(หว่างคิ้ว)
- สิ่งกระแทกกระทบ มีอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย เพียงมิให้จิตนั้นกระเทือนตาม
- คงสภาวะความเป็นปัจจุบัน รู้สึกถึงว่า ไม่มีอะไรมารบกวน ความว่างเปล่าภายใน (ได้แก่ ลมหายใจ หัวใจ นึกคิด และ ลูกตา)
สิ่งที่เกิดแล้ว และยังไม่เกิดขึ้น คือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ หรือเข้าไปในเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ได้ ( นี่ คือ สภาวะอนัตตา นั่นเอง)
สนใจ เพียงเฉพาะปัจจุบัน ก้อเพียงพอ ว่า มีอะไร สดุดภายใน ไม่โปร่งเบา แสดงว่า กิเลสเกิดขึ้น ปัดโดย ทิ้งนึกคิด สิ่งนั้น มาอยู่ที่ ว่างเปล่า ... การคิดอดีต ไม่สามารถเข้าไป ละใดๆได้ การคิดอนาคต ก้อไม่สามารถ เข้าไปทำอะไร ได้ เพราะ ยังไม่เกิดขึ้น ... สิ่งที่เกิดแล้ว และยังไม่เกิดขึ้น คือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ หรือเข้าไปในเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ได้ ( นี่ คือ สภาวะอนัตตา นั่นเอง)
ทุก อนิจจัง อนัตตา เป็น สภาวะ มิใช่บัญญัติหรือ นิยามใดๆ เป็นสภาวะ 3 สภาวะ แห่ง กาย นี้ ได้แก่ หนักหน่วงทางลมหายใจ ทางหัวใจ ทางนึกคิด และ ลูกตา (ทำให้ขมวดและเพิ่ง แบบเครียด) และ สภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ร่ำไปจากการสิ่งกระทบที่มีมาอยู่ตลอดไม่ขาดสาย และการไม่อยู่กับปัจจุบันนั้น (ตามข้างต้น) ทำให้เกิดการสร้างสมมติและอุปทาน ขึ้น
มิติแห่ง อริยะสัจ 4 ด้วย ยุคสมัยปัจจุบัน
อริยะสัจ 4 - นึกคิด - อาภัพ/ปมด้อย - สมมติ/ถือตามสมมตินั้น
การไม่บรรลุซึ่งปรารถนา และ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่มีเหตุและปัจจัยมาจาก ความอาภัพและปมด้อย ทั้งสิ้น |
อริยะสัจ 4 |
ทางโลก
สัตว์ ผู้ดำรงตามสัญญาชาติญานดิบ ในการสนองสมมติและอุปทานของตนเอง ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รุ้ตัว ภายใต้กรอบใดๆ กรอบหนึ่ง
อาภัพ / ปมด้อย |
ทางธรรม
ผู้ มีความสามารถ มองทะลุผ่าน การตั้งสมมติ และ ถือตามสมมตินั้น (สัญญา)
อาภัพ / ปมด้อย |
|
ทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ล้วนแต่ เป็นทุกข์ แม้แต่ความโศรกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ทั้งความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ว่าโดยย่อ การยึดมั่นแบบฝังใจ ว่า เบญจขันธ์ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง
|
อาภัพในสิ่งที่ไม่มีเหมือนพระเจ้า ไม่มีครบเหมือนคนอื่น ปมด้อย ขาดสิ่งบริบูรณ์ในการดำรงความปรารถนา ความฝัน ความหวัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยศักยภาพตนเอง หรือ อาจโดนกระทำ
ทางนึกคิด: สูญเสีย สิ้นหวัง แค้นเคืองพยาบาท ทางกาย: หิว ง่วง สืบเผ่าพันธ์ ขับถ่าย เจ็บ/ป้วย เสื่อม/ชรา/ตาย <==พระพุทธเจ้าสรุปโดยรวม
เหล่านี้จึงก่อให้เกิดและทำให้หยุดนิ่งไม่ได้
โดยมี กิเลส 10 เป็นฐานปัจจัยประกอบ ผสมผสานสร้างอุปกิเลส นับไม่ถ้วน เกินสุดพรรณาในสัดส่วนผสมเหล่านี้ ด้วยอาศัยความเป็นสัตว์ จึงขาดความสามารถในการรู้ทันเมื่อจิตมลทินเหล่านี้ก่อเกิดขึ้นมา ตรงกันข้าม พยายามขับดันให้ความทะยานอยากเหล่านี้ บรรลุซึ่งความปรารถนา
|
อาภัพและปมด้อย ขาดความสามารถในการดำเนินอยู่ทางโลก (ไม่สามารถทำให้กิเลส นั้นบริบูรณ์และต่อเนื่องได้หรือคงอยู่ได้)
ความสามารถทางธรรม จึงมาชดเชย เกิดดวงตาธรรมขึ้น คือ เห็นการไม่ขึ้นอยู่กับ สมมติและการถือตามสมมติใดๆ และการนึกคิดที่เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ก่อให้เกิด ต่างๆนานา แล้วในที่สุด จะเลิกยึดตาม ถือตามตัวตน ความเป็นตัวตน ตวามมีของตัวตน และ นำไปสู่ อนัตตา ด้วย ศึล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับทางธรรมชาติ คือ รักษาตนให้พ้นจากมลทินทั้งปวง ดำรงไว้ซึ้งความสงบ กายวาจาใจ และ พิจารณาธรรมชาติต่างๆ อย่างมีเหตุมีผล รวมถึงดำรงไว้ซึ่ง อโหสิกรรม และ พรหมวิหาร 4
แต่ความมหัศจรรย์ของสัจธรรมนั้น มีมากกว่าธรรมดาๆ ทั่วไป เมื่อเข้าถึง ความสงบ ระดับ โพชฌงค์ 7 เมื่อเข้าถึงจะรู้ได้เองว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร |
เหตุและปัจจัยแห่งทุกข์ ทำให้ก่อให้เกิด ไปเรื่อยๆ วนแล้ววนอีก ทำซ้ำ แปรรูปเปลี่ยนลักษณะ โดยอาศัย ความทะยานอยาก หรือ ตัณหา (กามะ ภาวะ วิภาวะ) |
เพราะนึกคิดตั้งสมมติ และถือตามสมมติ นั้นๆ
เนืองจากขาดปัจจัยเบื้องต้น 3 ประการ คือการรักษาตนให้พ้นมลทิน ดำรงอยู่ในความสงบ และ พิจารณาสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงอย่างมีเหตุมีผล |
กาย วาจา ใจ ยังไม่หยุดนิ่ง และ ว่างเปล่า |
วิธีดับทุกข์ หรือ ทำให้ไม่ก่อให้เกิดอีก
สละ สิ่งที่มีอยู่แล้วโยนทิ้งไป
ละ สิ่งที่ยังไม่มีอยู่ และไม่หยิบขึ้นมา
ปล่อย ผัสสะที่กระทบ ผ่านมาแล้วผ่านไป
วาง พักไว้ก่อน
ไม่พัวพัน กายพัวพันอยู่แต่จิตไม่พัวพัน
|
ไม่มีความสามารถเช่นนี้ แต่มีมิจฉาทิฏฐิ มาชดเชยแทน โดยการไขว่คว้าหามา เพื่อให้เกิดสุข เพื่อนำไปสู่จิตสงบ จากการวิปัสสนู หรือ บรรลุความปราถนาภายใต้กิเลสมลทิน แต่สำคัญผิดว่า นี่คือความสุข (แม้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว) |
เจริญ โพธิปักขัตยติธรรม
โดยการทำง่ายๆ คือ นั่งนิ่งๆ ไม่นึกคิดอะไร ทำใจให้ว่างๆ (เฉพาะเมื่อมีอะไรเข้ามา ให้ปัดทิ้ง)
ตาไม่เกร้ง ไม่เพ็ง เพียงมองออกไป หัวใจเต้นเรียบ ไม่รู้สึกถึงอาการเต้น หายใจโล่งไม่สดุดไปที่หัวใจ
|
ดับการก่อเกิดอีก เป็นวิสัยปกติ บนพื้นฐาน มรรค 8
|
ไม่มีความสามารถเช่นนี้ ตรงกันข้าม จะสร้างการก่อให้เกิดอีก หรือ สะสม ไปเรื่อยๆ |
ไม่ยึดอยู่กับธรรมารมภ์ใดๆ แม้แต่ อารมภ์นิพพาน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แห่ง ความสงบแห่ง อุเบกขาโพชฌงค์ สักวันหนึ่งจิตจะกลั่นตัวแต่ความบริสุทธิ์ ทิ้งกิเลสไว้ และจิตบริสุทธิ์จะไปรวมตัวกันใหม่ เมื่อนั้นจะถึงเวลาที่สุดแห่งที่สุด คือ ความเป็นสามัญ ธรรมดาๆ ทั่วไปตามธรรมชาติ เราคือธรรมชาติ ธรรมชาติล้อมรอบเรา ธรรมชาติก็คือเรา คือสิ่งๆเดียวกัน คือ ความอนิจจังแห่งอนัตตา ความเป็นไปอยู่รำไปแบบนั้นของมันเองโดยไม่ต้องไปถือตาม |
พระเจ้าอยู่ในตัวเราทุกคน คือความวิเศษของความสงบ เนืองด้วย ไม่มีมลทินทั้งนึกคิดและอารมภ์ จนกลั่นตัวเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เรียบนิ่งไม่กระเพื่อมต่อผัสสะใดๆ
ถ้าพูดในเชิงสรีระ ก็คือ ทำให้อวัยวะทุกส่วนอยุ่ในสภาพหยุดการเคลื่อนไหว และ สมองตัดการรับรู้ต่ออวัยวะทุกส่วน
ขึ้นกับว่า เราจะเลือกที่จะฟัง สัญชาติญานของสัตว์ในตัวเรา หรือ จะเจริญอยู่ด้วยปัญญาในการมองเหนือความเป็นสัตว์ แยกสิ่งหลอกลวงออก ทั้งทาง ภายในกาย และ ภายในจิต ด้วยเจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ซึ่งต้องอาศัย ความสงบ ในระดับ โพธิปักขัติยธรรม เท่านั้น
|
|
การวัดสภาพจิต คนประเภทสัตว์ สามารถดูได้จาก ความอาภัพ และ ปมด้อย ที่มีอยู่ ที่เกิดขึ้น จาก สิ่งที่เห็นอยู่ (จับต้องได้ทางกายภาพและอารมภ์) และ ปัจจัยแวดล้อมที่ถูกอุปโลกวางกรอบให้ (จับต้องไม่ได้ทางกายภาพ แต่จับต้องทางอารมภ์ได้)
โพธิปักขิยธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ เกื้อหนุนแก่อริยมรรค มี 8 ชุด ที่สามารถเข้าถึงอารมภ์แห่งพระนิพพาน หรือ อารมภ์ที่ไร้มลทินทั้งปวง หลังจากจบ ชุดใดๆ ก้อได้
- สติปัฏฐาน 4
- สัมมัปปธาน 4 หรือ ความเพียร 4
- สังวรปทาน คือ เพียรระงับการกระทำอกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น ( เพียรระวัง )
- ปหานปทาน คือ เพียรละเลิกอกุศลที่กำลังกระทำอยู่ ( เพียรละ )
- อนุรักขปทาน คือ เพียรรักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว ( เพียรรักษา )
- ภาวนาปทาน คือ เพียรฝึกฝนบำรุงกุศลธรรม ให้เจริญยิ่งขึ้น ( เพียรเจริญ )
- อิทธิบาท 4
- ฉันทะ: คลายใจ กับสิ่งที่กำลังทำ ตั้งใจทำ
- วิริยะ(วินัย): ลงมือทำสิ้นสงสัย ทำสม่ำเสมอ
- จิตตะ: ตั้งมั่น กับสิ่งที่ทำ
- วิมังสา: ทบทวน กับสิ่งที่ทำไป
- อินทรีย์ 5
- พละ 5
- โพชฌงค์ 7
- มรรคมีองค์ 8
มรรค 8 (การทำความเห็น 8 ประการ) |
|
|
สัมมาทิฏฐิ |
ทำความเห็นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ทำให้จิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทิน ด้วย อริยะสัจ 4 |
สัมมาสังกัปโป |
ทำความเห็น ปลด กิเลสมลทิน ออก ด้วย ละ/อธิษฐาน ทำ สมถะและวิปัสสนา โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น |
สัมมาวาจา |
สำรวมวาจา โดย ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่หยาบคาย ไม่เหลวไหล ไม่เฮฮาด้วยคึกคะนอง |
สัมมากัมมันโต |
ประพฤติชอบ รักษาตนอยู่ในศึล 5 |
สัมมาอาชีโว |
ปัจจัยสี่ อาหาร ยา ที่อาศัย เครืองนุ่งห่ม มีพอเพียง ด้วยการหาได้โดยไม่เบียดเบียน |
สัมมาวายาโม |
สัมมัปปธาน 4 หรือความเพียร 4 (ละ ระวัง รักษา พัฒนา) เสมือนฝนที่เพิ่งเริ่มตกที่ละเม็ดไปจนเป็นห่าใหญ่ |
สัมมาสติ |
สติปัฏฐาน 4 ทำความเห็น กาย เวทนา จิตตา ธรรมา เป็นอนัตตา |
สัมมาสมาธิ |
อุเบกขาโพชฌงค์ |
หลังจากอุเบกขาโพชฌงค์แล้ว วิปัสสนาสุดท้าย คือ การพิจารณาละ ความเลิศเลอทุกประการ เพื่อ ถอนรากถอนโคนกิเลส 10 และจบเพียงเท่านี้ สังโยชนฺ10 จะถูกถอนออกโดยอัตโนมัติ |
|
กิเลส 10 |
มิจฉาทิฏฐิ |
เห็น กามราคะ ยังเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี สิ่งนี้ จะแก้ได้ ต้องรอ วาระ ต่อเมื่อ รู้ทัน สกิดใจ และดวงตาธรรมเปิดแล้วเท่านั้น ไม่ว่าด้วย ธรรมจักร หรือ ความรันทด มิจฉาทิฏฐิ นี้ เป็นต้นกำเนิด ความก่อให้เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว ดังนั้น การมองเห็นมิจฉาทิฏฐิ ในตนเอง ไม่ใช่เรืองง่าย ไม่สามารถทำได้ด้วยความนึกคิด มีเพียงจิตเท่านั้น ที่จะเข้าถึง ว่าความเห็นผิดนั้น ผิดเช่นไร |
วิจิกิจฉา |
ข้อสงสัยที่มีในจิตต่างๆนานาน ทำความเห็นแค่ว่า ทำไปเถิดเจริญให้มาก เหมือนฝนที่เพิ่งเริ่มตกที่ละเม็ดไปจนเป็นห่าใหญ่ |
โมหะ |
คือ การความต่อเนื่อง ที่ทำให้การก่อให้เกิดนั้น สืบเนืองไปเรือยๆ แบบหยุดไม่ได้ จะแก้ได้ด้วย การรู้ทัน ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว |
โลภะ |
รู้ทัน การเกินกว่าสันโดษ พอเพียงเพียงลำพัง |
โทสะ |
อาศัย การให้ทาน อโหสิกรรม พรหมวิหาร 4 เป็นตัวช่วยในการดับ และ วางพักลงก่อน |
ถีนะ |
ง่วงเหงา ดูตัว หวิว ที่ท้องน้อย และ หัวใจ ดูไปเรือยๆ ก็จะดับเอง ขณะเดียวกัน ตาคลายการมอง เพียงแค่เหมือนหนังตากำลังเปิดตามอง |
อุธัจจะ |
|
อหิริ |
ไม่ละอายต่อบาป แก้โดย สัจจะ อธิษฐาน หรือ นึกอยู่เสมอว่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้าเรา ดูอยู่เสมอ |
มานะ |
รู้จักเจียมตัว ระลึกไว้ว่า เรานั้นเป้นอนัตตา ไม่มีอะไรอยู่เลย อยู่โดยสันโดษ ลำพังและเพียงพอ ไม่พึ่งพาสิ่งใดๆ |
อโนตัปปะ |
ไม่เกรงกลัวต่อบาป แก้โดย การมีสติ คิด พิจารณาให้รอบคอบ ก่อนทำ ว่าการใดควร การใดไม่ควร อย่างมีเหตุมีผลอันควร |
|
ปฏิจจสมุปทาน
- เพราะ ตัวรู้ จึงทำให้ รู้รูปนาม
- เพราะ รูปนาม จึงทำให้ สามารถกระทบได้กระตุ้นได้
- เพราะ กระทบหรือกระตุ้น จึงทำให้ รู้สึก
- เพราะ รู้สึก จึงทำให้ อยาก
- เพราะ อยาก จึงทำให้ ถือตาม
- เพราะ ถือตาม จึงทำให้ มีได้เป็นได้
- เพราะ มีได้เป็นได้ จึงทำให้เกิดได้
- เพราะ เกิดได้ จึงมี เจ็บ ชรา ตาย
ดุในพระไตรปิฏก หน้า 322 มหานิทานสูตร
ขันธ์ 5 (กลไกแห่งการก่อให้เกิด) |
กลไก |
ทางกาย |
ทางจิต |
ผัสสะ |
มีการกระทบ ทางอวัยวะ |
มีการกระทบในระดับจิต(เกิดในมิตินี้) และ มีการกระทบในระดับพลังงานระดับพลังงานชีวิต(เกิดเหนือมิตินี้) |
เวทนา |
|
รับการกระทบนั้นแต่ยังไม่รู้ มีแรงกดดัน แรงบีบคั้น กระตุ้น |
สัญญา |
|
รู้การกระทบนั้น มีแรงกดดัน แรงบีบคั้น กระตุ้น จากรูปแบบเดิมที่เคยบันทึกได้ รอการปรุงแต่งในขั้นตอนต่อไป |
สังขาร |
เกิดการกระตุ้น หมุนวน ในการผลิตสร้างโฮโมน และมีแรงขับดันอวัยวะต่างๆ เพื่อการสืบเนื่อง กระทบต่อกันไปเรือยๆหรือ ที่เรียกว่า ปฏิกริยาลูกโซ่ เหมือนคลื่นน้ำเมื่อก้อนหินหล่นลงน้ำ |
|
วิญญาน |
กระทบกับ ลมหายใจ หัวใจ นึกคิด และ ม่านตา |
เกิดเป็นอารมภ์จิตหนึ่งๆขึ้น หรือ ที่เรียกว่า เจตสิก |
|
คุณสมบัติ
- มีปัญญา มาก เพียงพอ ที่จะ สามารถเข้าถึง และ เข้าใจ ความปราถนาดีและ ความเมตตา ได้ และ สามารถเข้าถึงกระบวนการทางธรรมชาติ ได้ และมีความสามารถรวมจุดสนใจ เพียงอารมภ์นั้นเพียงอารมภ์เดียวได้
- ความเห็นบริบูรณ์ (มรรค 8 )
- สะสม บาป บุญ ปัญญา มาก่อนแล้ว
- ประสบ สุขและทุกข์ จน เกิดเบื่อหน่าย
ธรรมที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าสมาธิ
- ราคะ
- โทสะ
- โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน)
- ถีนะมิทธะ (ความง่วง)
- อุทธัจจ-กุกกุจจะ (ฟุ้งซ่าน - กำหนดกาลที่คาใจ)
- วิจิกิจฉา
- โมหะ
- นิรปีติ (ความไม่มีปิติ)
- นิรสุข (ความไม่มีสุข)
- อกุศลธรรมทั้งหลาย
วิมุติมรรคหน้า 42
http://www.dhammachak.net/wimuttimuk.html
ราคะ(ต้องการสนองตัณหา) โทสะZไม่ยึดมั่น ใฝ่หาความผิดพลาด และผลักไส) โมหะ
ราคะโทสะ ราคะโมหะ โทสะโมหะ ราคะโทสะโมหะ
สัทธา พุทธิ(ปัญญา) วิตก
สัทธาพุทธิ สัทธาวิตก พุทธิวิตก สัทธาพุทธิวิตก
Here, 'behaviour' means the fourteen kinds
4
of behaviour:
passion-behaviour (ชอบ ทะยานอยาก มองโลกในแง่บวก pleasure) ในทางพุทธ ใช้ว่า ราคะ
hate-behaviour (เกลียด โกรธ มองโลกในแง่ลบ unpresure) ในทางพุทธ ใช้ว่า โทสะ
infatuation-behaviour (หลงใหล) ในทางพุทธใช้ว่า โมหะ
faith-behaviour (ศรัทธา)
intelligence-behaviour (ปัญญา)
excogitation-behaviour (พะวง)
passion-hate-behaviour,
passion-infatuation-behaviour,
hate-infatuation-behaviour,
passion-hate-infatuation-behaviour,
faith-intelligence-behaviour,
faith excogitation-behaviour,
intelligence-excogitation-behaviour,
faith-intelligence-excogitation-behaviour.
And again, there are other kinds of behaviour such as craving-behaviour, opinion-behaviour, pride-behaviour.
5
Here, in the case of greed and the rest, the meaning does not defer from the above.
6
http://www.urbandharma.org/pdf1/Path_of_Freedom_Vimuttimagga.pdf