เธอจงเสพที่นั่งอันสงัด เช่น ป่าละเมาะ ))))โคนม้าย ))))ภูเขา)))) ซอกห้วย ))))ท้องถ้ำ ))))ป่าช๊า)))) ป่าชัฏ)))) ที่แจ้ง)))) หรือล้อมฟางเถิด)))) นั่งคู้บัลลัง)))) ตั้งกายตรง)))) ดำรงสติเฉพาะหน้า )))) ไปสู่ป่า))) สู่โคนม้าย)))) หรือสู่เรือนว่าง)))) ให้เห็นประจักษ์ว่า)) ธรรมชาตินั่นสงบ)))) ธรรมชาตินั่นประณีต)))) ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง)))) เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง))))
ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอันเป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้
บริโภคอาหาร ไม่ควรติดใจจนเกินไป ควรเป็นผู้มีท้องพร่อง
ผู้มีความปรารถนาลามกเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม ได้สดับน้อย ไม่เอื้อเฟื้อ จะเปล่าประโยชน์ต่อการให้โอวาทบุคคลเช่นนั้นในหมู่สัตว์โลกนี้
ภิกษุใดประกอบด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้า ยินดีในธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้นย่อมพลาดนิพพานอันเป็นธรรมเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม
ส่วนภิกษุใด ละธรรมเครื่องเนิ่นช้าได้แล้ว ยินดีในอริยมรรคอันเป็นทางไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า ภิกษุนั้น ย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นธรรมเกษม จากโยคะอย่างยอดเยี่ยมเป็นพหูสูต เป็นปราชญ์ตั้งมั่นอยู่ในศีล ประกอบใจให้สงบระงับเป็นเนืองนิตย์
ควรคบบัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่า ย่อมมีแต่ความดีไม่มีชั่วเลย
ผู้กำลังเข้าสมาบัติอันไม่มีวิตก ประกอบด้วยธรรมคือ
ความนิ่งอย่างประเสริฐ
ดั่งภูเขาหินล้วนตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมือนภูเขาเพราะสิ้นโมหะ
ความชั่วช้าเพียงเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏเหมือนเท่าก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน
แสวงหาความสะอาดเป็นนิตย์
เราไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต เราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะจักละทิ้งร่างกายนี้ไป
ไม่ยินดีต่อความตายและชีวิต รอคอยเวลาตายอยู่ เหมือนลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงาน
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญแต่สัมมาปฏิบัติเถิด ขอจงอย่าได้ปฏิบัติผิดพินาศเสียเลย
อย่าให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ในการฝังสัมมาทิฏฐิลงในจิตใต้สำนึก
![]()
ทั้งหมด คือ การไม่ยึดติดและรู้จักปล่อยวาง สมมุติและอุปาทาน (เพราะทั้งหมดเป็นสัญญา คือ กำหนดและถูกกำหนด เป็นโดยกลไกทางกายและจิตและเหนือธรรมชาติ หรือ เป็นโดยความคิดคำนึงมาลอยๆลมๆแล้งเป็นแค่จินตนาการจับต้องไม่ได้เลยและไม่มีประโยชน์สาระ พึงยึดถือ) อันเกิดมาจาก ขันธ์5 (รูปนาม-ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ทั้งภายในภายนอก) ที่แสดงออกเด่นชัดด้วย รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด (ภวังคจิต หรือห้วงอารมภ์) ที่มีน้ำหนักถ่วงหน่วง อยู่ใน อก การหายใจ การเต้นบีบคั้นของหัวใจ เป็นหลักใหญ่ โดยอาจมีอาการข้างเคียง เช่น การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การเพ้อออกมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด --->กระตุ้นหรือให้พลังกับกิเลส หรือมีกิเลส คอยจ่อปรุงอยู่ ให้เดือดให้พล่านให้ดีด ---> สมมุติอุปาทาน .... โครงกระดูกนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มีเพียง รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด ที่คอยจะไหลเวียน กระตุ้นเนื้อเยื่อต่างๆ ภายในร่างกาย ลมหายใจและหัวใจ ให้หายใจเร็วช้า หัวใจเต้นเร็วช้า
รู้ถึง ปัญญาวิมุตติ แห่ง วิญญานฐิติ 7 - อายตนะ 2 และ วิโมกข์ 8 ทำให้แจ้ง ความหลุดพ้นด้วยสมาธิ (เจโตวิมุตติ) และความหลุดพ้นด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะในปัจจุบัน ภิกษุนี้ เรียกว่า อุภโตภาควิมุต (ผู้พ้นทั้งสองทาง) ไม่มีอุภโตภาควิมุต อย่างอื่นยอดเยี่ยมกว่า ประณึตกว่า
อุปาทานส่วนใหญ่ มักมีจุดเริ่มจากความกลัว เป็นพื้นฐาน จึงก่อให้เกิดการแสวงหาและสนองตอบ ต่อความต้องการต่างๆนานา เกินพรรณา จนเป็นความเคยชิน เช่น กลัวหิว กลัวภัยอันตราย เป็นต้น อวิชชาก็คือ ความไม่รุ้ในอริยะสัจ4 คือความไม่รู้ถึงแนวทางและวิธีการดับทุกข์หรือขจัดทุกข์ให้สิ้นไป ในระดับจิตใต้สำนึก เพื่อให้จิตเป็นเอกเทศ แยกออกจากทุกสิ่ง
![]()
การดำรงในสภาวะหยุดนิ่ง หรือ สมถะ เพื่อให้ ร่างกายและกลไกร่างกาย รวมถึงจิตใจ ผ่อนคลาย จางคลาย
จนคืนสูสภาพปกติดั้งเดิม เรียกว่าการสลัดคืนทั้งกายและใจ เหมือนอาการพองและยุบตัวลง
จนถึงขั้นที่ร่างกายยึดตรึงสงบแน่นิ่ง
ลมหายใจแผ่วเบาสบายๆ
หัวใจเต้นเรียบไม่กระเทือน
การจะผ่านเข้าสู่สภาพเช่นนี้ได้ จะเกิดสภาวะ ทางกาย(รู้สึกภายนอกและภายใน) ทางใจ(อารมภ์) และทางการนึกคิด รวมกันเป็นสภาวะหนึ่งๆแห่งจิต ซึ่งมีอาการแสดงออกมามากน้อยแล้วแต่ลักษณะเฉพาะของคนนั้นๆ เรียกว่าสภาวะ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ซึ่งการยังหลงใหลในสภาวะเหล่านี้ ถือเป็นธรรมเครื่องล่าช้า ที่จะทำให้พบกับ สภาวะนิพพาน อันมาจากความเกษมแห่งโยคะอันยอดเยี่ยม ล่าช้า (บางทีเรียกกันไปพลางๆ ก่อนว่า นิพพานดิบ นั่นเอง)
จัักษุ ญาน (รู้สึก อารมภ์ นึกคิด ที่จิตให้การยอมรับ) ปัญญา (จิตใต้สำนึกสามารถระลึกและจดจำบันทีกได้) วิชชา แจ่มแจ้ง (ในญาน นั้น)
กายท่ามกลางกาย เวทนาท่ามกลางเวทนา จิตท่ามกลางจิต หรือ ธรรมท่ามกลางธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งจนกระทั่ง จะเห็นสภาวะเกิด-ดับ อยู่ร่ำไป จนจิตสามารถแยกกลไก ขันธ์5 แต่ละส่วนออก เห็นถึงสิ่งที่แสดงออกมาเป็น รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด รู้ซึ้งไปถึง ตำแหน่งดับปรุงแต่ง ตำแหน่งดับตัณหา ตำแหน่งดับสมมุติอุปาทาน โดยการมองเห็น ทั้งหมดเป็นอนัตตา ในคราเดียวกันพร้อมๆกัน มองเห็นสมมุติอุปทานและอนัตตาคือสิ่งๆเดียวกัน
ในด้านโลกุตระ คือการกระทำใน ระดับจิตใต้สำนึกนั้น การถอนสมมุติอุปาทาน และฝังสัมมาทิฏฐิเข้าไป จะทำด้วย การประพฤติปฏิบัติจนเป็นอุปนิสัยเคยชิน ซึ่งก็คือ นิโรธะคามินีปฏิปทา ด้วยการรู้ทัน รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด เพียงรู้แล้วละ เพื่อให้ถึงก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก สักวันใดวันหนึ่ง การฝึกโดยอาศัยฌานประกอบกัน จะเข้าไปทำวิปัสสนา ให้ถึง สิ่งที่ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย เพื่อเจาะทะลุจิตใต้สำนึกเข้าไปบ่อยๆ จนที่สุดจะเกิดสภาพ จิตแยกกาย หรือ จิตเป็นอิสระจากกาย หรือ จิตอยู่เหนือกาย อันเป็นความหมายเดียวกัน
ในเรื่อง เหนือธรรมชาติ นั้น คงไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่น ชะตาลิขิต ปรากฏการณ์ต่างๆ เพราะขนาดแสงสี ที่มีย่านความถี่เกินประสาทสัมผัส ยังมีอยุ่จริงในจักรวาล เพียงแต่การมีอยู่นั้น ไม่ยึคถือยึดติดและใช้ให้เป็นประโยชน์
ในด้านโลกียะ คือ การทำฌาน ด้วยทั้งอาศัย กายและจิต หรือ เฉพาะจิต หรือ กายนำจิต หรือ จิตนำกาย แล้วแต่สภาพและความสามารถจะอำนวย มีได้ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เป็นไปเพื่อ สมถะ หรือ เพื่อความสงบนิ่ง สบายกายสบายใจ เท่านั้น โดย 5 ลักษณะได้แก่ การข่ม การดับเอง การตัดขาด การสงบเย็น และการสลัดคืนโดยการทำให้บริสุทธิ์ (ฌาน4 โยนิโสมนสิการ โลกุตระธรรม โพชฌงค์7 วิสุทธิ)
การเล่นอิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ก็เป็นไปเพื่อ สนองต่อ อารมภ์ ในบางขณะ หรือ เป็นการคลายเวทนา คลายอารมภ์ เปรียบดั่งเช่น ความฝันขณะนอนหลับ เป็นต้น หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์อันเป็นควรแก่ธรรมนั้น
ทั้ง 2 แนวทาง อาศัยฌาน 4ที่สมบูรณ์แล้ว เป็นฐานสำคัญ ในการดำเนินของธรรม ไม่ว่าในด้าน โลกุตระธรรม หรือ โลกียะธรรม เส้นทางเดินขึ้นกับ บุคคลว่า มีจิตใต้สำนึกในการยอมรับ และเชื่อมั่น ในธรรมตัวไหนมากน้อยเพียงใด การที่ให้ปัญญากับผู้ที่คลั่งใน โลกียะธรรม ย่อมเป็นไปได้ยาก เส้นทางของผู้ที่ดำเนินโลกียะธรรม จะต้องอาศัยอภิญญา6 ด้วยการหยั่งรู้ใดๆ จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่ายสุดซึ้ง จึงเสมอได้ด้วย โลกุตระธรรม เช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม ผู้ดำเนินในโลกุตระธรรม จะไม่เห็นประโยชน์ใดๆ ของโลกียะธรรม ซึ่งมีแต่จะบั่นทอน ทอดเวลาให้เนิ่นช้าออกไป ในการสอนจิตใต้สำนึก
keyword: รู้สึก-อารมภ์-นึกคิด ธรรมชาตินั่นสงบ ประณีต เป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง สะอาด บริสุทธิ์ ภายในแกนกลางแห่งกายและจิต จน ดับเย็น แยกเป็นเอกเทศ เห็นสภาพตามจริง (สิ่งที่ได้เกิดขึ้น สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ และสิ่งที่จะดับลง เป็นไปอย่างไร) หลังครง ท้องพล่อง ไร้ความเลิศเลอ 30 กต 2557 เมื่อแสงสว่างจ้าได้ปรากฏ แสงสว่างในสมาธิ คือ กระแสจิต เมื่อสมาธิก้าวหน้า.....พลังจิตจะมากขึ้น พลังจิตจะแปรสภาพเป็น.....กระแสจิตที่เจิดจ้า(จึงเห็นเป็นแสงสว่าง) ยิ่งพลังจิตมากขึ้นเท่าใด.....แสงสว่างก็ยิ่งมากขึ้นตามเท่านั้น และต่อไปแสงสว่างนั้น.....จะพัฒนาไปเป็นตาทิพย์ ตาทิพย์ คือ แสงสว่างในสมาธิที่เจิดจ้ามากจนสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้แบบหลับตาก็เห็นชัดเจนถูกต้องเหมือนลืมตา ซึ่งจำเป็นในการนำไปใช้เจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไป ดังนั้น..... แสงสว่างจึงเป็นเกณฑ์หนึ่งในการวัดระดับขั้นของสมาธิ(สมถกรรมฐาน)ว่า..... สมาธิก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน และพร้อมจะก้าวขึ้นไปสู่วิปัสสนาได้หรือยัง
ออกซิเจน อากาศบริสุทธิ์ เป็นกุญแจหลัก ที่จะทำให้ รู้สึก นึกคิด อารมภ์ เกิดการสลัดคืนสุ่ความปกติ
แม้ จิตจะนิ่ง แต่ยังรู้สึกมีบางอย่าง จุกที่อก นั่นเป็นเพราะ ออกซิเจน หรือ อากาศรอบด้านยังไม่บริสุทธิ์เพียง ทำให้ร่างกาย สู่ความสมดุลย์ไม่เต็มที่
แกนกลาง คือความหยุดนิ่ง สิ่งรอบแกนกลาง คือ สิ่งรอบนอก (ได้แก่ ชันธ์5 ทั้งปวง หรือ รู้สึก นึกคิด อารมภ์) เมื่อสภาวะคงที่ ข้างใน ข้างนอก จะเกิดการแบ่งแยกไม่เกี่ยวกัน ถึงตรงนี้ ข้างนอกนี่แหละ ที่ไม่ใช่ของเรา
การอยู่กับแกนกลางจะนำไปสู่ รู้สึก นึกคิด อารมภ์ ของจิตใต้สำนึก อีกที มันจะเคว้งๆ คว้างๆ
นั่งนานสักหน่อย (2 ชัวโมงอย่างน้อย) แกนกลางนี้จะเด่นชัดขึ้นมานิดๆ ให้พุ่งความสนใจเฉพาะแกนกลางนี้ ลักษณะของแกนกลางนี้ รู้สึกได้ มีความนึกคิดเล็กน้อย และมีอารมภ์สงบนิ่ง (จริงๆ คือความ สงบ นั้นแหละ แต่แยกออกมาให้เห็น มันคือขันธ์5 นั่นแหละ อันเดียวกัน)
พูดถึงว่า ระหว่างพุ่งจิตเฉพาะแกนกลางนี้ จะเกิดภาวะ จิตแยกกาย หรือ ข้างในข้างนอกแบ่งแยกกัน หรือ ตัวกูไม่ใช่ของกู หรือ ร่างกายสิ่งกระตุ้นต่างๆไม่ใช่เรา หรือเสมือน อะไรบางอย่างอยู่นอกรั้วบ้านแต่จิตอยู่ในตัวบ้าน หรือ สิ่งภายในและสิ่งภายนอกแยกกัน สิ่งภายนอก มันไม่ใช่ของเรามันไม่เกี่ยวกะเราเลยนี่ ความหมายเดียวกันหมด มันจะปรากฏให้เห็น/รู้ ไม่ต้องไปคิด มันจะเห็นมันจะรู้ของมันเอง (ภาวะนี้ เรียกว่า จิตรวมใหญ่ หรือ เอกอัคตา)
เมื่อได้สภาวะนี้แล้ว สักพัก ม่านภวังคจิต จะเข้ามาเยือน เมื่อฝึกบ่อยๆ จะมีกำลังสติ ดำรงอยู่ได้ในภวังคจิตนี้ ภวังคจิตนี้จะดับไป จะเข้าสู่ภาวะทรงฌาน (ของแท้) มีความเสถียร ลำลึกหาที่สุดไม่ได้ ไม่เคลื่อน ไม่ขยับ