Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
กลวิธานจิตวิทยา

อย่างไรก็ตามปัญหาของมนุษย์มีหลายประการ แม้จะใช้วิธีการที่มีเหตุผลแต่ไม่สามารถแก้ได้สำเร็จ บางครั้งมนุษย์จึงต้องเลือกใช้กลวิธีการปรับตัว (Defense mechanism) ซึ่งฟรอยด์และบุตรีแอนนา ฟรอยด์ ได้แบ่งประเภทกลไกในการป้องกันตัวดังต่อไปนี้

1. การเก็บกด (Repression) หมายถึง การเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือความรู้สึกผิดหวัง ความคับข้องใจไว้ในจิตใต้สำนึก จนกระทั้งลืม กลไกป้องกันตัวประเภทนี้มีอันตราย เพราะถ้าเก็บกดความรู้สึกไว้มากจะมีความวิตกกังวลใจมากและอาจทำให้เป็นโรคประสาทได้

2. การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น (Projection) หมายถึง การลดความวิตกกังวล โดยการป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น

3. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) หมายถึง การปรับตัวโดยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง โดยให้คำ อธิบายที่เป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ตีลูกมักจะบอกว่า การตีเพื่อเด็ก เพราะเด็กต้องการการทำโทษ เป็นบางครั้งจะได้เป็นคนดี พ่อแม่จะไม่ยอมรับว่าตีเพราะโกรธลูก

4. การถดถอย (Regression)
หมายถึงการหนีกลับไปอยู่สภาพอดีตที่เคยทำให้ตนมีความสุข

5. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation)
หมายถึงกลไกป้องกันตน โดยการ ทุ่มเทในการแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ

6. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy หรือ Day Dreaming)

กลไกป้องกันตัวประเภทนี้เป็นการ สร้างจินตนาการหรือมโนภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ตนมีความต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงคิดฝัน หรือสร้างวิมานในอากาศขึ้นเพื่อสนองความต้องการชั่วขณะหนึ่ง

7. การแยกตัว (Isolation) หมายถึงการแยกตัวให้พ้นจากสถานการณ์ที่นำความคับข้องใจมาให้โดยการแยกตนออกไปอยู่ตามลำพัง

8. การหาสิ่งมาแทนที่ (Displacement)
เป็นการระบายอารมณ์โกรธ หรือคับข้องใจต่อคนหรือสิ่งของที่ไม่ได้เป็นต้น เหตุของความคับข้องใจ เป็นตนว่า บุคคลที่ถูกนายข่มขู่หรือทำให้คับข้องใจ เมื่อกลับมาบ้านอาจจะใช้ภริยา หรือลูกๆ เป็นแพะรับบาป

9. การเลียนแบบ (Identification) หมายถึงการปรับตัวโดยการเลียนแบบบุคคลที่ตนนิยมยกย่อง การเลียนแบบนอก จากจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมือนบุคคลที่ตนเลียนแบบ แม้ยังจะยึดถือค่านิยมและมีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่เราเลียน แบบในความสำเร็จ หรือล้มเหลวของบุคคลนั้น การเลียนแบบไม่จำเป็นจะต้องเลียนแบบจากบุคคลจริง ๆ แต่อาจจะ เลียนแบบจากตัวเอกในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โดยมีความรู้สึกร่วมกับผู้แสดง เมื่อประสบความทุกข์ ความโศก เศร้าเสียใจ หรือเมื่อมีความสุขก็พลอยเป็นสุขไปด้วย

กลไกในการป้องกันตัวเป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจการใช้กลไกการป้องกันตัวจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผลหรือแก้ไขปัญหาได้




เปรียบเทียบ ทางโลกและทางธรรม
ทางจิตวิทยา ทางโลก ทางธรรม
การเก็บกด เก็บไว้ในจิตใต้สำนึก จะต้องทำนิโรธทันที
การป้ายความผิดให้แก่ผู้อื่น เพื่อลดความวิตกของตัวเอง เป็นโทสะ มีลักษณะผลักไส
การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง หลอกตัวเอง สร้างมิจฉาทิฏฐิ ด้วยการสร้างสมมุติและอุปทาน บนรากฐานของกิเลส
การถดถอย คิดถึงแต่ความหลัง อยู่กับสัญญาเก่า
แสดงออกตรงข้าม เป็นลักษณะซ่อนไพ่ เป็นอนุสัย เสแสร้ง
สร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน ใช้มิจฉาทิฏฐิ เป็นบาทฐาน เพื่อกระตุ้นและสนองตัณหา และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ขาดสติหลงอยู่กับ โมหะ เป็นการปล่อยจิตออก
การแยกตัว เก็บตัวแบบซึมเศร้า ปลีกวิเวก ในทางธรรมเป็นสิ่งที่ดี เพื่อลดผัสสะ
การหาสิ่งมาแทนที่ มักมาจากการขโมย ทดแทนเพื่อสนองตัณหา กิเลส สมมุติและอุปทาน ทดแทนด้วยกุศลธรรม
การเลียนแบบ มักมาจากการขโมย สร้างตัวตนจากตัวอย่างที่มีอยู่ ไม่ได้สร้างจากปรัชญาจากการหล่อหลอมของตนเอง พิจารณาจิตแยกกาย เพื่อทำลายตัวกูของกู
xxx

ทฤษฎีแรงจูงใจ

ไม่มีทฤษฎีใดเพียงทฤษฎีเดียวที่จะอธิบายแรงจูงใจทางจิตใจของคนได้ทั้งหมด แต่ก่อนเคยเชื่อกันว่า แรงจูงใจของคนเกิดจากแรงผลักดัน(drive)ทางด้านสรีระ เช่น ความหิว ความกระหาย เพศ (เป็นแรงผลักดันขั้นปฐมภูมิ) เมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดสมดุลทางร่างกายก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้คนแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ภาวะเหล่านี้ขาดสมดุลในร่างกายก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้คนแสดงพฤติกรรม เพื่อให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ทฤษฎีนี้อาจอธิบายพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดจากการผลักดันขั้นปฐมภูมิ หรือแรงผลักดันอื่นๆที่แตกตัวไปจากแรงขับนี้ เช่น เวลาเราหิวแล้วเราไปร้านขายขนม เราจะซื้อขนมมากว่า ถ้าเรากินข้าวอิ่มมาใหม่ๆ เราอาจจะอธิบายพฤติกรรมซื้อขนมมากขึ้นได้ว่ามาจากแรงจูงใจด้านการหิว

กระตุ้นมาจาก ขันธ์5 ที่กาย

ทฤษฎีสิ่งล่อใจ : นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า มนุษย์รู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนได้มากพอสมควร เพราะฉนั้นแรงจูงใจของคน จึงมีมากกว่าการรักษาสมดุลทางสรีระเท่านั้น ทฤษฎีสิ่งล่อใจนี้มีความเชื่อว่า คนมีเจตจำนง เมื่อมีสิ่งล่อใจหลายๆอย่าง คนจะสามารถเลือกได้ว่าจะเอาอย่างใหน ตัวอย่างชัดๆที่จะยกมาอธิบายก็คือ พวกนักโทษการเมืองที่แม้จะถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้และนำไปขังใว้ให้อดอาหารเฆี่ยนตี แต่ก็ไม่ยอมบอกความลับของชาติเพราะเหตุใดการอธิบายทางสรีระใช้ไม่ได้เลย หรือคนที่เชื่อมั่นในศาสนาหลายคนก็ยอมอุทิศชีวิตโดยมุ่งหวังสิ่งล่อใจทางจิตใจมากกว่าวัตถุ มีนักจิตวิทยาบางคนอธิบายเอาใว้ว่าพฤติกรรมบางอย่างที่คนกระทำนั้นทำโดยไม่ได้หวังสิ่งล่อใจจากภายนอกแต่ทำเพราะได้รางวัลจากภายใน ตัวรางวัลจากภายในที่สำคัญตัวหนึ่งคือ ความรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง

กระตุ้นมาจาก ขันธ์5 ที่จิต

----- การอธิบายทั้งสองอย่าง ยังลงไม่ลึกมากในระดับจิตใต้สำนึก ....

สิ่งเร้าได้เปลี่ยนความต้องการของเรา

นักจิตวิทยาได้ค้นหาว่า คนมีแรงจูงใจที่จะโต้ตอบกับประสบการณ์นานาชนิด หมายความว่า คนมีความต้องการให้มีการกระตุ้นในระดับหนึ่งที่พอสมควร ถ้าในสิ่งเร้ามากระตุ้นเราต่ำกว่าที่ควร เราก็ต้องพยายามหาทางเพิ่ม เพราะฉนั้นคนบางคนมีระดับความต้องการกระตุ้นสูง เมื่อให้อยู่กับที่เฉยๆจึงเกิดความเบื่อหน่าย เซ็งขึ้นมา ต้องไปหาอะไรแปลกๆใหม่ๆมาเปลี่ยนบรรยากศเสียบ้าง หากจะพูดในอีกแง่หนึ่งก็คือ คนและสัตว์ต้องการที่จะตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตน คนมีความปราถนาที่จะรู้ เมื่อเวลาใช้ชีวิตประจำวัน เราอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าเรามีความต้องการอันนี้อยู่ เพราะสิ่งแวดล้อมมีอะไรแปลกๆใหม่ๆอยู่เสมอ จนเราไม่รู้สึกขาด นักจิตวิทยาจึงทำการทดลองลดสิ่งกระตุ้นในสิ่งแวดล้อม โดยการจ้างนักศึกษาไปนอนโดยปิดตาปิดหู สวมเสื้อผ้าไม่ให้สัมผัสกับโลกภายนอก ทำให้ไม่กลิ่น ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้สัมผัสกับอะไรเลย ผู้ถูกทดลองอาจพบว่าตนเองไม่อาจจะทนต่อสภาพที่ไร้สิ่งเร้าเช่นนั้นได้ ส่วนมากจะทนได้ประมาณ ๒ วันเท่านั้นก็เบื่อแล้ว เริ่มมีอาการกระสับกระส่ายและรายงานว่าเกิดภาพหลอน ความจำเริ่มแตกแยก เริ่มได้ยินได้เห็นของที่ไม่มีตัวตน งานวิจัยชิ้นนี้จะช่วยให้เราเข้าใจการเกิดอาการประสาทหลอนได้ และในทางตรงกันข้าม ถ้าสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมมีมากเกินไป คนก็ต้องพยายามหาบรรยากาศที่ลดสิ่งเร้าลงบ้าง เช่น คนบางคนจะแอบไปหาห้องเงียบๆเพื่อหนีบรรยากาศที่พลุกพล่าน และยังมีข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ คนจะพยายามหาสิ่งเร้าที่มีความซับซ้อนมากกว่าที่เขาคุ้นเคยอยู่ แต่ถ้าสิ่งเร้านั้นซับซ้อนยุ่งยากมากเกินไปก็จะพยายามหลีกหนีเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้คนจึงชอบแต่เล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้แต่ถ้าเล่นแล้วเห็ยว่าเกมส์นั้นยากเกินไปคนก็จะเลิก แม้แต่เรื่องตลกก็จะมีระดับความยากได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน เรื่องตลกที่ยุ่งยากซับซ้อนนิดๆหน่อยๆเราก็พอใจ แต่ถ้าสลับซับซ้อนมาก เราก็จะรู้สึกว่าฝืดหัวเราะไม่ออก หรือถ้าเป็นตลกง่ายๆแบบเด็กๆเราก็ไม่ขำอีกเช่นกัน คนแสวงหาความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และนี่ก็เป็นส่วนสำคัญในเรื่องการรับรู้ ในการทดสอบเอาหนูว่างบน T-maze ( ทางเดินรูปตัว T ) ถ้าเริ่มแรกหนูเริ่มต้นเลี้ยวซ้ายและวิ่งไปจนสุดทาง แล้วเราจับมันมาวางบนทางแยกใหม่ คราวใหม่นี้มันจะเลี้ยวขวา เราจะพบปรากฏการณ์นี้บ่อยๆในเด็กทารกที่พยายามแสวงหาและสำรวจสิ่งเร้าใหม่ๆเด็กๆซื้อของเล่นก็เพราะแบบนี้ เวลาเด็กร้องให้แล้วเราเอาของเล่นแปลกๆ เช่น เอาของเล่นที่มีเสียงแปลกๆไปให้ดู เด็กจะเลิกร้องไห้และหันมาสนใจของใหม่ หรือถ้าเราจับเด็กไปใว้ในกองของเล่นอันเก่าๆของเขาที่มีของเล่นอันใหม่ปนอยู่ด้วยอันหนึ่งเขาจะเล่นอันใหม่ทันที แรงจูงใจเช่นนี้จะมีติดตัวมาแต่กำเนิด หรือมาเรียนรู้เอาภายหลังเรายังไม่อาจบอกได้แน่ชัดลงไป เพราะแม่แต่ในหมู่นักจิตวิทยาก็ยังถกเถียงกันอยู่ ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแรงจูงใจนั้น เราอยากจะรู้ว่าอะไรเป็นแรงจูงใจผลักดันให้คนแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น หรือแรงจูงใจมากน้อนเท่าใดจึงจะทำให้พฤติกรรมที่แสดงอยู่นั้นยาวนานอยู่ได้ ประโยคที่เราถามว่า "นี่เกิดขึ้นมาได้อย่างไรนะ" หรือประโยคอื่นๆที่ต้องการคำตอบในทำนองนี้ คือคำถามที่เราต้องการคำตอบในเรื่องแรงจูงใจนั้นเอง เวลาที่เราทำกิจกรรมโดยมีแรงกระตุ้นจะทำให้เราอยู่ในสภาพที่พร้อมที่จะทำพฤติกรรม มากกว่าสภาพที่ไรแรงกระต้นใจ เช่นเวลาที่นักเรียนไปเรียนหนังสือทุกๆวันส่วนมากมักจะไม่มีแรงจูงใจที่จะดูหนังสืออย่างหนักทุกวันแต่วันใหนมีการสอบ การสอบก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้พร้อมที่จะดูหนังสือมากกว่าปกติ การเห็นแบบอย่างเป็นแรงกระตุ้นใจที่ดี และนี้สามารถใช้อธิบายเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันได้มากมาย ผลสะท้อนในแง่ที่เป็นเยี่ยงอย่างมีมากดังเช่นปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่า "เชือดไก่ให้ลิงดู" สำหรับพฤติกรรมที่ยาวนาน พฤติกรรมที่รุนแรงเข้มข้น พฤติกรรมที่มีการเสี่ยงสูง พฤติกรรมเหล่านั้นย่อมมีแรงจูงใจทั้งนั้น เมื่อเราเติบโตขึ้นมา เช่น บางทีเรากระหายน้ำ แต่เราไม่ต้องการกินเพียงน้ำเปล่าธรรมดา ผู้หญิงบางคนอาจต้องการโอเลี้ยงสักแก้ว แต่คอทองแดงบางคนอาจต้องการเบียร์เย็นๆสักแก้ว ส่วนวิธีการตอบสนอง ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีลวดลายลูกเล่นต่างๆมากมายและเวลาที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ ความคับข้องใจที่เกิดขึ้น เนื่องจากความไม่สามารถไปให้ถึงความต้องการก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นมาก ก็ยิ่งมีความพร้อมมากการกระตุ้นทางอารมณ์และการกระตุ้นด้วยเหตุผลมีผลต่อความพร้อมแตกต่างกัน การกระตุ้นทางอารมณ์ช่วยให้พฤติกรรมนั้นรุนแรงเข้มข้น แต่มีลักษณะชั่งระยะเวลาสั้นๆ ส่วนการกระตุ้นทางเหตุผลมีลักษณะให้การแสดงพฤติกรรมอันยาวนานคงทนต่อเวลาแต่การแสดงพฤติกรรมอาจไม่รุนแรง

18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz