Ampol C.

สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
กด ctrl ค้างเพื่อเปิด tab
กรรมฐาน หลวงปู่มั่น
การทำสมาธินานาชาติ
ลมหายใจ
การทำสมาธิ
บริกรรมยุบพองรู้

พระไตรปิฏกเล่ม 17
พระไตรปิฏกเล่ม 15
เสียงอ่านพระวจนะ
เสียงอ่านพระวจนะ
พระโมคาลานะ
พระไตรปิฏก-เทียบ



กุณทาลินี 7 จักระ
พลิกจิต
สมอง
ทฤษฎีอารมภ์
คัมภีร์นรลักษณ์ะ
คัมภีร์โยกย้ายเส้นเอ๊น
บริหารนิ้วข้อมือแบบนินจา








ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต

เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที
ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา    (ศรัทธา วิริยะ) สติ (สมาธิ ปัญญา)    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    นิโรธะคามินีปฏิปทา
พระไตรปิฏก

หน้า 311 ภิกษุถึงพร้อมด้วยศีลอย่างนี้แล มีทวารอันรักษาแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

เมื่อภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้แล้ว ดูภายใน ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อปราโมทย์แล้ว ปิติย่อมเกิด กายของผู้มีใจเปี่ยมด้วยปีติย่อมสงบ มีกายสงบย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุข ย่อมตั้งมั่น.
เธอสงัดแล้วเทียวจากกามทั้งหลาย จากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน
มีวิตกวิจาร ปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่. สัญญาเกี่ยวด้วยกามมีในก่อนย่อมดับไป สัญญาในสัจจะอันละเอียดมีปีติและสุขอันเกิด แต่วิเวกย่อมมีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียด มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกในสมัยนั้น สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ แม้ด้วยประการฉะนี้ แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือ ปฐมฌาน).

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงทุติยฌาน อันยังจิตให้ผ่องใสภายในตน ยังความเป็นธรรมเอกผุดขึ้นแห่งจิตให้เกิด (ยังสมาธิจิตให้เจริญขึ้น) ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกและวิจารสงบ มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอันมีในก่อนของเธอย่อมดับ. สัญญาในสัจจะอันละเอียด มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิย่อมมีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียด มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิในสมัยนั้น สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้ แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือทุติยฌาน).

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงตติยฌาน เพราะคลายปีติกลายเป็นอุเบกขาอยู่ มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุขด้วยนามกาย ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญผู้ได้ฌานนั้นว่า เป็นผู้อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดังนี้แล้วแลอยู่.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิมีในก่อน ของเธอย่อมดับ. สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยสุขอันเกิดแต่อุเบกขาย่อมมีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยสุขอันเกิดแต่อุเบกขา ในสมัยนั้น. สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือตติยฌาน)

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและเพราะละทุกข์ เพราะดับโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อนเสียมีความที่แห่งสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยสุขอันเกิดแต่อุเบกขา มีในก่อนย่อมดับ.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ย่อมมีในสมัยนั้น. เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียด อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ในสมัยนั้น.
สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือจตุตถฌาน).

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อากาสไม่มีที่สุดดังนี้ เพราะความพ้นไปจากรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ทำไว้ในใจซึ่งสัญญาโดยประการต่าง ๆ แล้วแลอยู่.
รูปสัญญามีในก่อนของเธอย่อมดับไป สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนะ ย่อมมีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนะ ในสมัยนั้น.
สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คืออากาสานัญจายตนะ).

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ เพราะพ้นไปจากอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวงแล้วแลอยู่.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยอากาสานัญจายตนะ มีในก่อนของเธอย่อมดับไป.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนะย่อม มีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจายตนะในสมัยนั้น. สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คือวิญญาณัญจายตนะ).

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งไม่มีดังนี้ หรือ ไร้ซึ่งรากเหง้าแห่งกิเลสผู้รัดทั้งปวงอันได้แก่ โมหะ โลภะ โทสะ เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวงแล้วแลอยู่.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยวัญญาณัญจายตนะมีในก่อนของเธอย่อมดับไป.
สัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยอากัญจัญญายตนะย่อมมีในสมัยนั้น.
เธอเป็นผู้มีสัญญาในสัจจะอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนะในสมัยนั้น. สัญญาบางอย่างในสิกขาย่อมเกิด บางอย่างย่อมดับด้วยประการฉะนี้. แม้นี้ก็เป็นสิกขาอย่างหนึ่ง (คืออากิญจัญญายตนะ).


โปฏฐปาทะ ภิกษุในพระศาสนานี้ มีสกสัญญา (มีความสำคัญด้วยสัญญาในฌานของตน) คือออกจากปฐมฌานนั้นแล้ว มีสัญญาในทุติยฌานโน้น ออกจากทุติยฌานนั้นแล้ว มีสัญญาในตติยฌานโน้น
โดยลำดับไปถึงยอดสัญญา (อากิญจัญญายตนะ๑) เมื่อเธอตั้งอยู่ในยอดสัญญา มีความคำนึงอย่างนี้ว่า เมื่อเราจำนงอยู่ ไม่ดีเลย เมื่อไม่จำนงอยู่ ดีกว่า
ถ้าแลว่า เราพึงจำนง พึงมุ่งหวังอากิญจัญญายตนสัญญานี้ของเราพึงดับ และสัญญาหยาบอย่างอื่น (ภวังคสัญญา) พึงเกิดขึ้น มิฉะนั้น เราไม่ควรคิด ไม่ควรมุ่งหวัง.
จึงไม่คิดด้วย ทั้งไม่มุ่งหวังด้วย เมื่อไม่คิด ไม่มุ่งหวังอยู่ อากิญจัญญายตนสัญญานั้นย่อมดับด้วย ทั้งสัญญาหยาบอย่างอื่นย่อมไม่เกิดขึ้นด้วย เธอย่อมถึงสัญญานิโรธ ฉันใด
สัญญานิโรธสมาบัติของภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับ ย่อมมีฉันนั้นแล. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=6029&Z=6776

บำเพ็ญสมาธิจนได้ฌาน 1 เมื่อได้ฌาน 1 แล้ว กามสัญญา (อารมภ์ที่น่าถวินหา ยั่วยวน) ที่เคยมีก็ย่อมดับไป สัญญาอันละเอียดอันเป็นจริงในปิติ และสุขอันเกิดแต่ความสงัด ย่อมมีในสมัยนั้น นี่คือสัญญาอันหนึ่งเกิดขึ้น สัญญาอันหนึ่ง ย่อมดับไป เพราะสิกขา

ในฌาน 2 สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ ในปิติ และ สุข ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในปิติสุข อันเกิดแต่สมาธิ ย่อมมีในสมัยนั้น

ในฌาน 3 สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ ในปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอุเบกขาและสุข ย่อมมีในสมัยนั้น

ในฌาน 4 สัญญานอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอุเบกขาและสุข ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ (ละเอียดมากขึ้น) ในความไม่ทุกข์ไม่สุข ย่อมมีในสมัยนั้น

ในอรูปฌาน 1 รูปสัญญา ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ใน อากาสนัญจายตนะ (มีอากาศเป็นอารมภ์) ย่อมมีในสมัยนั้น

ในอรูปฌาน 2 สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ใน อากาสานัญจยตนะ ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ ในวิญญาณัญจายตนะ (มีวิญญานไม่สิ้นสุดเป็นอารมภ์) ย่อมมีในสมัยนั้น

ในอรุปฌาน 3 สัญญาในสุขุม อันเป็นสัจจ์ใน วิญญาณัญจายตนะ ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอากิญจัญญายตนะ (ไม่มีอะไรอะไรเลย ดับสิ้น เป็นอารมภ์) ย่อมมีในสมัยนั้น

ภิกษุที่มีสัญญาของตน พ้นจากสัญญานั้นๆ แล้วก็บรรลุสัญญาอันเลิส(ขึ้นไป) โดยลำดับ เมื่อตั้งอยู่ในสัญญาอันเลิศแล้ว ก็คิดว่า การนึกคิดไปก็ไม่ดี ไม่คิดจะดีกว่า เพราะเมื่อคิดปรุงแต่ง สัญญาอันเลิศก็จะดับไป สัญญาอันหยาบก็จะเกิดขึ้น เธอจึงไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง เมื่อไม่คิดไม่ปรุงแต่ง สัญญาอันเลิศนั้น ก็ดับไป สัญญาหยาบอันอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอจึงชื่อว่า ได้บรรลุ นิโรธ (ความดับ)

ที่ตั้งแห่งวิญญาน (วิญญานฐิติ) 7 อย่าง และ อายตนะ 2 ... พระไตรปิฏก หน้า 325

สักกปัญหสูตร หน้า 337
สิ่งควรเสพ กุศลธรรมเจริญขึ้น อกุศลธรรมเสื่อมลง

สติปัฏฐานสี่ หน้า 339

  1. เห็นกาย ท่ามกลาง ทะเลแห่งกาย
  2. เห็นเวทนา ท่ามกลาง ทะเลแห่งเวทนา
  3. เห็นจิต ท่ามกลาง ทะเลแห่งจิต
  4. เห็นธรรม ท่ามกลาง ทะเลแห่งธรรม

การพิจารณากายแบ่งออกเป็น ๖ ส่วน

  1. พิจารณากำหนดลมหายใจเข้าออก ( อานาปานบรรพ ).
  2. พิจารณาอิริยบถของกาย เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน ( อิริยาปถบรรพ ).
  3. พิจารณารู้ตัวในความเคลื่อนไหว เช่น ก้าวไป ก้าวมา คู้แขน เหยีบดแขน กิน ดื่ม เป็นต้น ( สัมปชัญญบรรพ ).
  4. พิจารณาความน่าเกลียดของร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่าง ๆ มีผม ขน เป็นต้น ( ปฏิกูลมนสิการบรรพ).
  5. พิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ (ธาตุบรรพ ) .
  6. พิจารณาร่างกายที่เป็นศพ มีลักษณะต่าง ๆ ๙ อย่าง ( นวสีวถีกาบรรพ ).

การพิจารณาเวทนา ( ความรู้สึกอารมณ์ ) ๙ อย่าง

  1. สุข
  2. ทุกข์
  3. ไม่ทุกข์ไม่สุข
  4. สุขประกอบด้วยอามิส ( เหยื่อล่อมีรูป เสียง เป็นต้น )
  5. สุขไม่ประกอบด้วยอามิส
  6. ทุกข์ประกอบด้วยอามิส
  7. ทุกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส
  8. ไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามิส
  9. ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ประกอบด้วยอามิส.

การพิจารณาเวทนาจิต ๑๖ อย่าง

๑. จิตมีราคะ ๒. จิตปราศจากราคะ ๓. จิตมีโทสะ ๔ . จิตปราศจากโทสะ ๕. จิตมีโมหะ ๖. จิตปราศจากโมหะ ๗. จิตหดหู่ ๘. จิตฟุ้งซ่าน ๙. จิตใหญ่ ( จิตในฌาน ) ๑๐. จิตไม่ใหญ่ ( จิตที่ไม่ถึงฌาน ) ๑๑. จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ๑๒. จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ๑๓. จิตตั่งมั่น ๑๔. จิตไม่ตั่งมั่น ๑๕. จิตหลุดพ้น ๑๖. จิตไม่หลุดพ้น.

การพิจารณาธรรมแบ่งออกเป็น ๕ ส่วน

  1. พิจารณาธรรมที่กั้นจิตมิให้บรรลุสมาธิ ที่เรียกว่านีวรณ์ ๕ ( นีวรณบรรพ ).
  2. พิจารณาขันธ์ ๕ คือ รูป , เวทนา , สัญญา , สังขาร, วิญญาณ ( ขันธบรรพ ).
  3. พิจารณาอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ( อายตนบรรพ).
  4. พิจารณาธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ที่เรียกว่าโพฌงค์ ( โพฌงคบรรพ ).
  5. พิจารณาอริยสัจจ์ ๔ (สัจจบรรพ).

อนึ่ง การพิจารณากาย , เวทนา , จิต , ธรรม ทั้งสี่ข้อนี้ นอกจากมีรายการพิเศษดังกล่าวมาแล้ว ยังมีรายการพิจารณาที่ตรงกันอีก ๖ ประการ คือ

  1. ที่อยู่ภายใน
  2. ที่อยู่ภายนอก
  3. ที่อยู่ทั้งภายในภายนอก
  4. ทีมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
  5. ทีมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
  6. ที่มีทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา.


พระไตรปิฏก หน้า 539
จตุตถปัณฌาสก์ กล่าวถึง การบรรลุความเป็นผู้ไม่หวั่นไหว คือ อเนญชะ คือ อรูปฌาน4

พระไตรปิฏก หน้า 407
ภาษิตแห่งพระสารีบุตร ถามตอบ ข้อสงสัยในการปฏิบัติ ทั้งปวง


พระไตรปิฏก หน้า 408 จูฬเวทัลลสูตร
  • สักกายะ คือ อุปาทานในชันธ์ ทั้ง 5 คือ สิ่งเป็นทุกข์ นั่นเอง
  • สักกายะสมุทัย คือ ตัณหาอันก่อให้เกิดภพใหม่ เป็นไปด้วย ความกำหนัด ยินดี เพลิดเพลินยิ่งในอารมภ์ นั่นคือ ต้นเหตุนั่นเอง
  • สักกายะนิโรธ ดับด้วยการคลายกำหนัดไม่มีเหลือ สละ สละคืน ปล่อย ไม่พัวพัน ด้วยตัณหานั้นๆ นั่นคือ วิธีดับทุกช์ นั่นเอง
  • สักกายะนิโรธะคามินีปฏิปทา คือ ความคิดเห็นและแนวทางดำเนินชีวิต ไปสู่ความเจริญทางจิต นั่นคือ การประพฤติปฏิบัติ ที่ปราศจากความวิตกกังวล ความกลัวต่างๆนานา

      กายสังขาร คือ ลมหายใจ เนื่องจากเป็นธรรมชาติในกาย มีในกาย
      วจีสังขาร คือ วิตกและวิจารณ์ เนืองจากได้คิด ก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา
      จิตตสังขาร คือ สัญญา และ เวทนา เนืองจากเป็นธรรมชาติมีในจิต เนื่องด้วยจิต

      สัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
      ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง. เมื่อออกมาแล้ว จะปรากฏ ความวิเวก ขึ้น

      ราคะนุสัย อยู่ในสุขเวทนา ... ดับด้วย ปฐมฌาน
      ปฏิฆะนุสัย อยู่ในทุกขเวทนา ... ดับด้วย ตั้งปราถนาในวิโมกข์ 8 เป็นปัจจัย ความเบิกบานจึงเกิดขึ้น
      อวิชชานุสัยอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา ... ดับด้วย จตุตถฌาน มีสติบริสุทธิ์
      จึงมี วิชชา วิมุตติ นิพพาน เป็นลำดับถึงที่สุด

      วิโมกข์ 8 (การหลุดพ้น 8 ประการ)

      1. รูปฌาน 4
      2. บุคคลมีความกำหนดหมายในสิ่งไม่มีรูป เห็นรูปภายนอก (มีความสามารถใน ปฏิภาคนิมิต จำลองโมเดล มีจินตนาการที่เป็นสัมมา)
      3. บุคคลน้อมใจว่า งามในความประณีตในแต่ละ ฌาน
      4. 5 อรูปฌาน

พระไตรปิฏก หน้า 405 มหาเวทัลลสูตร
จาก มหานิทานสูตร ที่ ๒ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐
วิโมกข์ 8
    ๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

    ๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็น วิโมกข์ข้อที่ ๒

    ๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

    ๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดย ประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

    ๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ ๕

    ๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วง วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

    ๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

    ๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘


พระไตรปิฏก หน้า 566 ชุมนุมธรรม
พระไตรปิฏก หน้า 488 ฉบับที่ 15 รวบรวม มารผู้มีบาป (ก็คือ อุปสรรคอันมีกิเลสเป็นปัจจัย)
ความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า
ความไขว่เขว ด้วยพึงประหวั่นใจ กับผู้คน
ทำสิ่งที่ดูเหมือนขี้เกียจ ดูไม่ดี แต่แท้จริงแล้วเป็นไปด้วยความเหมาะสม ตามสภาพ และ กาละเทศะ
ความรื่นรม ฝันเพลิดเพลินในอารมภ์

คนพาลย่อมสำคัญว่า เป็นฐานะตราบเท่าที่บาป ยังไม่ให้ผล แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์ เมื่อนั้น ฯ ผู้ฆ่าย่อมได้รับการฆ่าตอบ ผู้ชำนะย่อมได้รับการชนะตอบ ผู้ด่าย่อมได้รับการด่าตอบ และผู้ขึ้งเคียดย่อมได้รับความ ขึ้งเคียดตอบ ฉะนั้น เพราะความหมุนเวียนแห่งกรรม ผู้แย่ง ชิงนั้น ย่อมถูกเขากลับแย่งชิงคืน ฯ

ยอดสุดแห่งความ พอใจนั่นแหละ อาตมภาพกล่าวว่าเป็นยอดในเบญจกามคุณ ดูกรมหาบพิตร รูปเหล่าใดเป็นที่พอใจของคนบางคน รูปเหล่านั้นไม่เป็นที่พอใจของคนบางคน เขา ดีใจ มีความดำริบริบูรณ์ด้วยรูปเหล่าใด รูปอื่นจากรูปเหล่านั้น จะยิ่งกว่า หรือ ประณีตกว่า เขาก็ไม่ปรารถนา รูปเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขา รูปเหล่านั้น เป็นยอดเยี่ยมสำหรับเขา ... เสียงเหล่าใด ... ดูกรมหาบพิตร กลิ่นเหล่าใด ... รสเหล่าใด ... โผฏฐัพพะ เฉกเช่นเดียวกัน

บุคคลปรารถนาอยู่ซึ่งอายุ ความไม่มีโรค วรรณะ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูง และความยินดีอันโอฬารต่อๆ ไป พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ ประโยชน์ภพนี้ และ ประโยชน์ภพหน้า เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญา จึงได้นามว่า "บัณฑิต" ฯ

ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละคืน ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ ... ย่อมเจริญสัมมาวาจา ... ย่อมเจริญสัมมากัมมันตะ ... ย่อมเจริญสัมมาอาชีวะ ... ย่อมเจริญสัมมาวายามะ ... ย่อมเจริญสัมมาสติ ... ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อัน อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปเพื่อความสละคืน ฯ
ด้วยว่าอาศัยเราเป็นมิตรดี สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็น ธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความเกิดได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อม หลุดพ้นจากความแก่ได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้น จากความเจ็บป่วยได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจาก ความตายได้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา ย่อมหลุดพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความเสียใจ และความคับแค้นใจได้ ฯ


???
อุปมาปรากฏ

พระองค์ได้ทำปฏิบัติอย่างนี้และอีกหลายวิธีเป็นเวลา 6 ปีแต่ก็ยังไม่สำเร็จแต่พระองค์ก็ครุ่นคิด อย่างหนักที่จะหาวิธีที่จะปฏิบัติในที่สุดความคิดก็ได้ผุดขึ้นซึ่งเป็นอุปมาเปรียบเทียบเกิดขึ้นในใจ 3 ข้อดังนี้

    ๑. สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายและใจยังไม่หลีกออกจากกาม แม้จะทรมานร่างกายให้ได้รับ ทุกขเวทนาแสนสาหัสสักปานใดก็ไม่สามารถที่จะตรัสรู้ได้ เช่นเดียวกับไม้สดที่ชุ่มด้วยยางทั้งแช่อยู่ในน้ำ ใครก็ไม่สามารถที่จะสีให้เกิดไฟขึ้นมาได้ เขาย่อมเหนื่อยเปล่าแน่นอน

    ๒. สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ทว่าจิตใจยังมีความกำหนัดยินดีอยู่ในกาม ถึงจะบำเพ็ญอย่างแรงกล้าสักปานใดก็ยังตรัสรู้ไม่ได้เช่นเดียวกัน เช่นไม้ที่ยังสดอยู่แต่ชุ่มด้วยยางแม้จะอยู่บนบก ใครก็ไม่อาจสีไฟให้เกิดไฟได้ เขาย่อมเหนื่อยเปล่า

    ๓. สมณะพราหมณ์เหล่าใด มีกายและใจหลีกออกจากกามด้วยดีแล้ว แม้จะได้รับทุกขเวทนา อันเกิดจากการบำเพ็ญเพียรนั้นหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถที่จะตรัสรู้ได้ เหมือนไม้แห้งที่ตั้งอยู่บนบก บุคคลย่อมสีให้เกิดไฟขึ้นได้


พระพุทธเจ้าได้ประทานพระโอวาท 3 ข้อ แก่โมคคัลลานะ
  • โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
  • โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
  • โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย
ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่ พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”

หรือดูจากเวบ http://www.baanjomyut.com/pratripidok/prasudtanpidok/204.html
มีหนังสือให้ดาวโหลดได้
สรุปได้ดี
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 1
สรุปเนื้อหาพระไตรปิฏก 2
พระไตรปิฏก เล่ม 15 ไม่มีเขียนไว้ในฉบับประชาชน
18 6 2025
Welcome Guest
Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
Login form
Calendar
Entries archive
Tag Board
Search
mp3
Changing Partner

nonCopyright © 2025
Make a free website with uCoz