ธรรมมะขั้นสูงสุด
ได้เคยเห็น วิถีชีวิตที่เหลือวนอยู่กับกิจกรรมต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเกิดเบื่อหน่าย ....
จนนำ ไปถึงการเห็นว่า เมื่อวนอยู่กับกิจกรรมนั้นๆ เมื่อตายไป สิ่งที่สร้างมา ไม่สามารถนำไปด้วยได้ ....
มีแต่เฉพาะบาป กับ บุญ เท่านั้นที่จะติดจิตไปอัตโนมัติ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม ... ให้ใช้ตัวนี้ทำวิปัสสนา ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อขัดเกลาจิตนั้น ให้บริสุทธิ์ขึ้นตามลำดับกลัว...สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ
กลัว...สิ่งที่ต้องทำ ไม่ได้ทำ
ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว มีแต่สิ่งที่ต้องละ
![]()
"เพราะไม่รู้จัก อริยะสัจ 4 จึงทำให้เราตกอยู่ในห้วงแห่งอารมภ์ และ วนอยู่กับห้วงแห่งอารมภ์
เปรียบเสมือนยังคงท่องไปในโลกกว้างที่ไม่รู้จักสิ้นสุด"
- พอเพียงเพียงลำพัง โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก
- สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ ประคอง จิตและกาย ให้อยู่ในสภาวะบริสุทธิ์ โดยการไม่พะวงกับนิวรณ์5 เห็นกายภายในกายผัสสะรู้สึกนึกคิดอารมภ์ทั้งหลาย เห้นเวทนาในบรรดาเวทนาทั้งหลาย เห็นจิตในบรรดาหมู่จิตทั้งหลาย เห็นธรรมในหมู่ธรรม
- ประมาณในเรืองอาหาร ไม่เกินจำเป็น
- ประคองกายให้อยู่ในสภาพที่ผอมเพื่อลดไขมันและทำให้ลำไส้โล่งในยามค่ำคืน ทานน้ำอุ่นเมื่อโดนหลอกว่าหิว
- ในเรืองของ ยา ควรต้องศึกษาไว่้ ทั้งแผนปัจจุบัน และ สมุนไพร
![]()
- ระลึกรอยต่อ ก่อนเจอพระอาจารย์ใหญ่และหลังเจอพระอาจารย์ใหญ่ รู้ถึง ทุกข์ หนัก อัสสวะ เทียบกับ ความสงบ และ หยุดนิ่ง
- อยู่กับปัจจุบัน(ลมหายใจ ว่ามีอะไรแทรกเข้ามาหรือไม่ ถ้ามีให้รู้และปัดออก) เพื่อเข้าถึงจิตในจิต หรือ จิตใต้สำนึก
- จิตบริสุทธิ์-กายบริสุทธิ์ = หยุดนึกคิด สันหลังตรง โฟกัสจักระ2เป็นฐานกำลังในบรรยากาศเมื่อยล้า จนมีกำลัง ย้ายเข้าสู่ลมหายใจและหัวใจ ที่แผ่วเบา จนหยุดนิ่ง
สมองเปรียบเหมือนกะเพาะอาหารที่ ทำการย่อยสัญญาเป็นนึกคิด สติ สัมปชัญยะ เป็นส่วนประกอบ 3 ส่วนที่ทำให้สมองทำงานอยู่ตลอดเวลา ถ้าปราศจากหรือตัวใดตัวหนึ่งหยุดทำงาน ก็จะมีสภาวะแตกต่างกันไป ??? น่าศึกษา
- ทำลายสังโยชน์ ด้วยการ ทำลายปรัชญาชีวิต และ สัญญาแห่งตัวตน(สมมุติและอุปทาน) ที่ปรุงและสร้างมาจากประสบการณ์แห่งจิตและประสบการณ์แห่งขันธ์
"คำว่า สมมุติและอุปทาน เมื่อมองผิวเผินเป็นนามที่กว้างไป การพูดว่า สมมุติและอุปทานนั้น เมื่อกล่าวถึง ให้ระลึกถึงว่า สมมุติและอุปทานตัวใหน ไม่ใช่ นึกหรือพูดลอยๆ การนึกถึงนึกได้ด้วยจิต มิใช่จำได้ด้วยสมอง"
สมมุติและอุปทาน มักเริ่มต้นจาก (จิต และ ขันธ์ ซ่อนตัวสร้าง) ---> ปรัชญาแห่งตัวตน - ปรัชญาเฉพาะกาลหรือเลือกสรรบิดเบือนเพื่อเสแสร้ง(หรือ อาจกล่าวได้ว่า ปรัชญาสำรอง) .... ถ้าปรัชญาไม่ทำงานหรือทำงานไม่ทัน สัญชาติญาน(คู่กับจิตใต้สำนึก) จะทำงานแทน ...
เราฝึกละทิ้งตรงนี้แหละ ... ถ้าไม่จบ ก็ไปต่อที่ ข้างบนแล้ว.....กิเลสของ อริยะบุคคล เรียกกันว่า สังโยชน์ โดยมากมักเป็นกิเลสฝ่ายดี (อาจมีเลวปนเพียงเล็กน้อย) ซึ่งไม่สามารถทำการละได้ เนื่องจากอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกหรือจิตในจิต การพ้นสังโยชน์จะทำได้ด้วยการ ทำลายลง (ด้วยโยนิโสมนสิการ หรือ การทิ้งชันธ์ด้วยโลกุตตร) ภายใต้ นิโรธะคามินีปฏิปทา เพื่อฝังไว้ในจิตใต้สำนึก หรือ รีโปรแกรมจิตใต้สำนึก ใหม่นั่นเอง
สังโยชย์ได้แก่ 1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3.สีลัพพตปรามาส 4.กามราคะ 5.ปฏิฆะ 6.รูปฌาน 7.อรูปฌาน 9.อุทธัจจะ 10.อวิชชาลำดับการเข้า (สำหรับเราเท่านั้น) เนื่องจาก เราเป็นผู้มีปัญญามาก และมีศีล5 มีพื้นฐานที่ดีมาแต่ปางก่อนโดยไม่มีใครบอกหรือสอน (พระอาจารย์ใหญ่ เคยกล่าวไว้แก่เรา) ทรงไว้ในจิตมาแต่เกิด การทำสมาธิซึ่งไม่ใช่วิถีปกติทั่วไป จากสูงลงต่ำ เริ่มจากปัญญา ลงสู่ สมาธิ จากสมาธิ ลงสู่สติ ขั้นตอนนี้เราจะอยู่ภายใต้สภาพความเมื่อยล้า ทิ้งการนึกคิดถึงสัญญาทั้งปวง ตอนนี้จะเหลือสามส่วน คือ ลมหายใจ หัวใจเต้น และสมองเต้น ความนึกคิดไม่มีแล้ว
เนื่องจากปัญญาที่มากนี้และได้ตอบคำถามถึงที่สุดของ โลกียะไว้หมดแล้ว ปัญญาจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป นี่เป็นส่วนหนึ่งของการดับสัญญา การลงจากยอดปัญญาเข้าสู่ สภาวะต่ำลงมา คือ สมาธิ และ สติ ของอินทรีย์5 นั้น เพื่อสำรวม ทุกอย่างลงหา สติ เพียงตัวเดียว คือการ รู้อยู่ กับสภาพที่ทุกสิ่งหยุดนิ่ง ( ลมหายใจ หัวใจ และ สมอง)
เสียงบรรยายธรรม พระพุทธเจ้าได้ให้ทำการกำหนดรู้ มีความหมายว่าให้ศึกษาธรรมที่จำเป็น เพื่อให้จิตนั้นปราศจากกิเลส ธัมมะในขั้นต้นนี้ได้แก่ อริยะสัจสี่ ขันห้า กิเลสสิบ นิวรณ์ห้า ปติดจะสะหมุปะบาท และไตรลัก เพื่อให้ทราบถึงกลไกของร่างกาย กลไกของจิต และสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบ เพื่อให้เห็นถึงสภาพของ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา และสมมุตและอุปทาน การศึกษาดังกล่าวเป็นเพียงให้รู้แค่ว่าคืออะไร มีอะไรบ้างเพียงเท่านี้ ที่เหลือจะเป็นเรื่องของการปะติบัต โดยที่เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบ จนกระทั่งหยุดนิ่งแล้ว จิตจะทำการเจาะลึกในรายละเอียดด้วยตัวของมันเอง โดยอัตโนมัติ )) อธิบายโดยละเอียดดังนี้)) อริยะสัจสี่)) คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ อยู่ในธัมมะจักกัปปะวัดตะนะสูตร มีเนื้อหาดังนี้)) 1 ทุกข์)) พระพุทธเจ้าท่านให้รู้ว่าอะไรคือทุก ควรศึกษาเกี่ยวกับทุก และทำการศึกษาเรื่องทุกให้แจ่มแจ้ง ) ซึ่งได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บไข้ได้ป่วย การตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์โทมนัส ความคับแค้นใจ ความประสบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ไม่ได้สิ่งที่ปราดถะหนา กล่าวโดยย่อ อุปปะทานขันห้านั้นคือทุกข์ นั่นเอง )) 2 เหตุแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านให้รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุก ควรกำหนดละเหตุแห่งทุก และทำการละเหตุแห่งทุกให้หมดไป ) ซึ่งได้แก่ ความทะยานอยาก ทำให้มีภพอีก เป็นไปตามความกระหายอยาก ด้วยความเพลิดเพลินในอารมภ์นั้นๆ ซึ่งก็คือ ตัณหา )) อันได้แก่ กามมะตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหา )) กามมะตัณหา คือ ความทะยานอยากจะเสพสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินในอารมภ์ ทั้งโดยจงใจ หรือไม่จงใจ เช่น ความชอบ ความโกรธ ความหลง รวมถึงกิเลสสิบ)) ภาวะตัณหา คือ ความทะยานอยากที่จะให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เป็นแบบนั้นแบบนี้ จะเอาอย่างนั้นอย่างนี้)) วิภาวะตัณหา คือ ความทะยานอยากที่จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ ไม่เอาอย่างนั้นอย่างนี้)) 3 วิธีดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านให้รู้ว่าวิธีดับทุกข์ ควรศึกษาวิธีดับทุกข์ให้ชัดแจ้ง และทำการดับทุกนั้นให้สิ้นไป ) ซึ่งได้แก่ วิธีการ สละ ละ ปล่อย วาง ไม่พัวพัน ))อธิบายโดยละเอียดคือ สละ) คือ สิ่งที่ตนยึดอยู่ถืออยู่โดยสมมุติและอุปทาน ออกจากจิตไป เสมือนกองขยะที่มีอยู่ในจิต ให้สลัดโยนทิ้งออกจากจิตไป)) ละ) คือ สิ่งสิ่งนั้นมีอยู่ดำรงอยู่ต่อหน้าสามารถที่จะยึดถือได้ตลอดเวลา แต่ยังไม่ได้ยึดอยู่ถืออยู่โดยสมมุติและอุปทาน ไม่ต้องไปนำ ไปจับ ไปเกี่ยวเข้ามาในจิต เสมือนขยะที่กองไว้แล้ว ไม่ต้องไปหยิบฉวยมา)) ปล่อย) คือ สิ่งสิ่งนั้นจะมีอยู่ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะ ถ้าไม่รีบจับฉวยไว้จะไม่สามารถยึดเกี่ยวได้อีก โดยสมมุติและอุปทาน ให้ปล่อยไป เหมือนผงขยะที่ปลิวผ่านมาชั่วขณะ ไม่ต้องไปนำ ไปจับ ไปเกี่ยวเข้ามาในจิต)) วาง)) คือ สิ่งที่ถืออยู่ยึดอยู่ในจิตแล้วนั้น ยังไม่สามารถทำการสละได้ในขณะนั้น ก็ไห้ทำการวางพักไว้ก่อน และเมื่อถึงกาลเวลาใดๆที่เหมาะสมมาถึง จึงพิจารณาเพื่อสลัดออกภายหลัง เหมือนขยะที่กองอยู่ในจิต แต่ยังไม่สามารถปัดทิ้งออกไปได้ ก็ให้เพียงวางพักไว้ก่อน เพียงรู้แค่ว่า มีขยะอยู่ตรงนั้น ยังไม่ต้องไปพะวงกับมัน) ไม่พัวพัน)) คือ ไม่ไปอยู่ท่ามกลางดงกิเลส หรือดงขยะ แม้กายเข้าไปอยู่ แต่จิตไม่พัวพันต่อกิเลสหรือกองขยะนั้นๆ)) 4 ทำการดับทุกข์นั้นให้เป็นปกตินิสัย บนพื้นฐานของมรรคมีองค์แปด พระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ในเรื่องนี้ และให้ทำการดับทุกข์นั้นให้เป็นปกตินิสัยทำมากๆ ทำอยู่เรื่อยๆ ยิ่งๆขึ้นไป )) เพราะสิ่งนี้จะเป็นการเข้าไปอบรมจิตใต้สำนึก และปลูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก จนที่สุด จะเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์)) กล่าวในเรื่อง มรรคมีองค์แปด ดังต่อไปนี้) สัมมาทิฏฐิ ทำความเห็นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ทำให้จิตบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสมลทิน ด้วย อริยะสัจ4)) สัมมาสังกัปโป ทำความเห็น ปลดกิเลสมลทินออก ด้วยการ ละ แล การอธิษฐาน ทำสะมะถะ และวิปัสสนา โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น )))) สัมมาวาจา สำรวมวาจา โดย ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่หยาบคาย ไม่เหลวไหล ไม่เฮฮาด้วยคึกคะนอง )) สัมมากัมมันโต ประพฤติชอบ รักษาตนอยู่ในศึล5 )))) สัมมาอาชีโว ปัจจัยสี่ อาหาร ยา ที่อาศัย เครืองนุ่งห่ม มีพอเพียง ด้วยการหาได้มาโดยไม่เบียดเบียน )) สัมมาวายาโม สัมมัปปะธาน4 หรือ ความเพียร4 (อันได้แก่ ละ ระวัง รักษา พัฒนา) )))) สัมมาสติ สติปัฏฐาน4 ทำความเห็น กาย เวทนา จิตตา ธรรมา เป็นอนัตตา )) สัมมาสมาธิ อุเบกขาโพชด์ฌงค์ ))ปฏิจจะสะหมุปะบาท)) อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้น เพราะมี ปัจจัย12 เรื่องเกิดขึ้นสืบๆต่อเนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ)) เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี )) เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี )) เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี )) เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สิ่งกระทบภายในจึงมี )) เพราะ สิ่งกระทบภายใน เป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี )) เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี )) เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี )) เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี )) เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี )) เพราะภพเป็นปัจจัย ชาร์ติจึงมี )) เพราะชาร์ติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี )) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อมความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี )) การเทศนาปฏิจจะสะหมุปะบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา)))) หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา ดังนี้ )) อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรค คือวิราคะ สังขารจึงดับ )) เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ )) เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ )) เพราะนามรูปดับ สิ่งกระทบภายใน จึงดับ )) เพราะ สิ่งกระทบภายใน ดับ ผัสสะจึงดับ )) เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ )) เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ )) เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ)) เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ )) เพราะภพดับ ชาร์ติจึงดับ )) เพราะชาร์ติดับ ชรา มรณะ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ จึงดับ )) เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้. )))) ลำดับแห่งปฏิจจะสะหมุปะบาทฝ่ายดับทุกข์ [แก้]ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะดับ ชาร์ติ (คือดับการเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ชาร์ติ จะดับไปได้เพราะดับ ภพ (คือดับการมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ )) ภพ จะดับไปได้เพราะดับ อุปาทาน (คือดับความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ )) อุปาทาน จะดับไปได้เพราะดับ ตัณหา (คือดับความอยาก )) ตัณหา จะดับไปได้เพราะดับ เวทนา (คือดับความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ )) เวทนา จะดับไปได้เพราะดับ ผัสสะ (คือดับการสัมผัส )) ผัสสะ จะดับไปได้เพราะดับ สิ่งกระทบภายใน (คือดับอายตนะใน๖ และ ดับอายตนะนอก๖ )) สิ่งกระทบภายใน จะดับไปได้เพราะดับ นามรูป (คือดับรูปขันธ์ )) นามรูป จะดับไปได้เพราะดับ วิญญาณ (คือดับวิญญาณขันธ์ )) วิญญาณ จะดับไปได้เพราะดับ สังขาร (คือดับอารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ และ เจตสิก )) สังขาร จะดับไปได้เพราะดับ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง)กิเลสสิบ เป็นพื้นฐานองค์ประกอบแห่ง อกุศลธรรมทั้งมวลอันเป็นมลทิน ได้แก่ )) 1 มิจฉาทิฏฐิ คือยังมีความเห็นไม่ถูกต้อง ซึ่งสิ่งนี้ จะแก้ได้ ต้องรอวาระ ต่อเมื่อรู้ทัน สกิดใจ และดวงตาธรรมเปิดแล้วเท่านั้น ไม่ว่าด้วย ธรรมจักร หรือ ความรันทด มิจฉาทิฏฐินี้ เป็นต้นกำเนิดความก่อให้เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว ดังนั้น การมองเห็นมิจฉาทิฏฐิในตนเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สามารถทำได้ด้วยความนึกคิด มีเพียงจิตเท่านั้นที่จะเข้าถึง ว่าความเห็นผิดนั้น ผิดเช่นไร )) 2 วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย สับสนว่า อะไรดี อะไรไม่ดี )) 3 โมหะ คือ อารมภ์ที่มีต่อเนื่อง ที่ทำให้การก่อให้เกิดนั้น สืบเนื่องไปเรื่อยเรื่อย แบบหยุดไม่ได้ จะแก้ไขได้ด้วย การรู้ทัน ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้เกิดขึ้นแล้ว )) 4 โลภะ คือ ความโลภที่อยากได้เกินกว่าความสงบ แก้ไขได้ด้วย การรู้ทัน การเกินกว่าสันโดษ พอเพียง เพียงลำพัง )) 5 โทสะ คือ ความโกรธ ลุแก่โมโหโกรธา แก้ไขด้วยอาศัย การให้ทาน อโหสิกรรม พรหมวิหาร 4 เป็นตัวช่วยในการดับ และ วางพักลงก่อน )) 6 ถีนะ คือ ความง่วงเหงา แก้ไขได้ด้วยการ ดูตัวหวิว ที่ท้องน้อย และ หัวใจ ดูไปเรื่อยเรื่อย ก็จะดับเอง ขณะเดียวกัน ตาคลายการมอง เพียงแค่เหมือนหนังตากำลังเปิดตามอง )) 7 อุธัจจะ คือความฟุ้งซ่าน แก้ไขได้ด้วยการทำสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ)) 8 อหิริ คือไม่ละอายต่อบาป เพียงแค่คิดแต่ยังไม่ลงมือกระทำ แก้ไขโดย สัจจะ อธิษฐาน หรือ นึกอยู่เสมอว่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้าเรา ท่านกำลังดูเราอยู่เสมอ )) 9 มานะ คือ ความทะนงตน ถือตน หยิ่งยะโส แก้ไขได้ด้วย การรู้จักเจียมตัว ระลึกไว้ว่า เรานั้นเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรอยู่เลย อยู่โดยสันโดษ ลำพังและเพียงพอ ไม่พึ่งพาสิ่งใดๆ )) 10 อโนตัปปะ คือความไม่เกรงกลัวต่อบาป ลงมือกระทำอกุศลนั้นๆ แก้ไขโดย การมีสติ คิด พิจารณาให้รอบคอบก่อนทำ ว่าการใดควร การใดไม่ควร อย่างมีเหตุมีผลอันควร )) นอกเหนือจากนี้ ยังมีอุปะกิเลสอีก16ตัวที่ ประกอบและผสมผสานมาจาก กิเลส10 อันได้แก่ ๑. ความโลภ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว)) ๒. ความพยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ)) ๓. ความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ)) ๔. การผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีตว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ)) ๕. การลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น)) ๖. การตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้)) ๗. ความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี)) ๘. ความตระหนี่ ถี่เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร)) ๙. มายา คือการเสแสร้ง เจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก แต่ของคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น)) ๑๐. การโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข)) ๑๑. ความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง)) ๑๒. การแข่งดี มุ่งแต่จะเอาชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้)) ๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน)) ๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น)) ๑๕. ความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้วทำอะไรเกินเหต)) ๑๖. ความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา)) ในการหยุดอุปะกิเลส กระทำด้วยการรู้ทัน อารมภ์อุปะกิเลสที่โผล่เข้ามา )) ในการทำลายอุปะกิเลสนี้ ถ้าสามารถทำลายฐานรากกิเลส10 ลงได้ อุปะกิเลสจะโดนทำลายลงโดยปริยาย ))นิวรณ์ห้า คือสิ่งพะวงต่างๆ ที่ทำให้จิตไม่สามารถสงบได้ จะคอยทำให้เกิดการพะวง หรือกังวลอยู่ตลอดเวลา อันได้แก่) 1 กามฉันทะ คือ ความพอใจในการเสพสิ่งเพลิดเพลิน ทั้งทางกายหรือทางใจ )) 2 พยาบาท คือ คิดแค้น ขุ่นเคือง เอาโทษเอาคืน )) 3 ถีนะมิทธะ คือ ความหดหู่ ความขี้เกียจ ความง่วงนอน หรือ ความเหนื่อยล้าที่อาจเกิดจากความขี้เกียจก็ได้ หรืออาจเกิดจากการตรากตรำงานหนักก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นความขี้เกียจที่มาจากความเมื่อยล้าแบบนี้อาจต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเสียก่อน )) 4 อุดธัดจะ กุกกัจจะ คือ คิดฟุ้งซ่าน คิดเรื่อยเปื่อย รำคาญใจ กังวลใจ)) 5 วิจิกิจฉา คือ คอยแต่จะสงสัยโน่น สงสัยนี่อยู่ตลอดเวลา)) การเข้าถึงความสงบอันเป็นสมาธินั้น ต้องอาศัยความตั้งใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างเช่น การท่อง จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ท่องแบบนี้ร่ำไปจนกว่าการท่องจะหายไปเอง ลองดู ) จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จักษุ ชาน ปัญญา วิชชา แสงสว่างวิสุทท์ธิ 7 ประการ คือ จิตจะถึงความสะอาดบริสุทธิ์ปราศจาก อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมมี7อย่าง คือเป็นพระอะระหันต์ขีณาสพได้ด้วยความบริสุทธิ์7ประการ ) 1. สีลวิสุทท์ธิ คือ ไม่ละเมิดศีล 5 ศีล 8 หรือ ศีล 227 ข้อ ตามกำลังของท่าน ตามสะมะณะของท่าน) 2. จิตตะวิสุทท์ธิ จิตจะสะอาดได้ก็กำจัดกิเลสร้ายคือ นิวรณ์5 ได้เด็ดขาด) 3. ทิฏฐิวิสุทท์ธิ คือ มีจิตเข้าใจมีความคิดเห็นตรง ไม่ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ความเห็นที่ว่าตายแล้วจิตสูญตามขันธ์5 ) หรือพระนิพพานเป็นอนัตตา เป็นความเห็นผิดไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระองค์ว่า นิพพานนังปะระมังสุขัง แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าจิตสูญสลายตามขันธ์5 นิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร้ จะเอาอะไรไปเป็นสุขอย่างยิ่งเล่า โลกนี้เป็นทุกข์เพราะ เป็นอนัตตา พระนิพพานเป็นสุข เพราะพระนิพพานไม่ใช่อนัตตาไม่ใช่ตัวตน คือ อมตะธรรมชาติที่วิเศษยิ่ง ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีขันธ์ทิพย์แห่งกายเทพกายพรหม ไม่มีอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน บาปบุญกรรม ตามไม่ถึงอิสระเสรีตลอดกาล) 4. กังขาวิตะระณะวิสุทท์ธิ คือ จิตจะบริสุทธิ์ ผุดผ่องสะอาดได้ด้วยหมดความสงสัยกังขาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์สวัสดิโสภาคย์ ที่พระองค์ท่านมีเมตตาต่อปวงชน สั่งสอนเทวดา พรหม คน สัตว์ ชี้แนะแนวทางแสงสว่างของชีวิตคือ พระนิพพาน ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธรูป (อันเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า) ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเข้าใจในพระธรรม คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ผู้นั้นเห็นองค์พระตถาคต ผู้ใดเห็นพระตถาคต (คือเข้าใจในตถาคต เข้าใจในสิ่งที่คตาคตรู้เห็น) ผู้นั้นเห็นเข้าใจพระนิพพาน อยู่ในจิตในใจของทุกท่านเอง คือ จิตหลุดพ้นจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมทำชั่วไม่มี) 5. มัคคามัคคญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นไปของจิต คือ ถ้าจิตใจยังผูกพันในอวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของชีวิต มีกิเลส โลภ โกรธ หลง มีตัณหาความอยาก มีบาปกรรมชั่ว ติดในรสอาหาร ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดภพทั้ง3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มีนรก สัตว์เดรัจฉาน ผีเปรต คน เทวดา พรหม เวียนเกิดเวียนตายไม่มีวันหยุดยั้งจนกว่าจะจบกิจ มีจิตสะอาดเข้าพระนิพพานได้ 6. ปฏิปทาญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน ได้ด้วยการรู้ฉลาดเข้าใจตามความเป็นจริงของโลก ของร่างกายเป็นทุกข์เป็นโทษ เพราะแปรปรวนเสื่อมสลาย มีแต่ของสกปรก น่ารังเกียจเป็นของสมมุติ เป็นของปลอม เป็นภาพมายา หลอกหลอนให้จิตหลงตลอดเวลา เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความวางเฉยเห็นว่าเป็นธรรมดาของโลก ของขันธ์ 5 ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ยินดียินร้ายกับขันธ์ 5 คือ มี วิปัสสนาญาณ 10 อย่างนั่นเอง เป็นหนทางที่จะทำให้จิตสะอาดเป็นพระอรหัตตผลขีณาสพเจ้ามีจิตพระนิพพานพ้นจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้ยังไม่ตายจิตก็เป็นสุขเลิศล้ำ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานตามธรรมชาติของโลก จิตท่านไม่เกาะเกี่ยวกับความทุกข์ในขันธ์ 5 อีกต่อไป 7. ญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากพลังของญาณของสมาธิภาวนา กล่าวคือ มีกำลังแห่งการหยั่งรู้ อันเกิดจากสภาพบริสุทธิ์ ทำให้หยั่งรู้ถึงขั้น การพ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาด้วยปัญญาที่เข้าฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 เป็นอัปปนาสมาธิกำลังแก่กล้า สำเร็จกิจตัดกิเลส อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด เป็นพระอะระหันต์ พระอริยะบุคคลที่สูงสุดในพระศาสนาเรียกว่า สมาธิวิมุตติ สำเร็จกิจด้วยกำลังของฌานสมาบัติเป็นปัญญารู้รอบวิปัสสนาญาณ ตามความเป็นจริงวิสุทท์ธิ หมายถึง ความบริสุทธิ์ ความหมดจด ในศาสนาพุทธกล่าวถึง) วิสุทท์ธิ7 ซึ่งหมายถึง การชำระจิตและกายด้วยสิ่งบริสุทธิ์ด้วยการฝึกฝนตนเอง ที่เรียกว่าไตรสิกขาไปโดยลำดับจนบรรลุจุดมุ่งหมาย คือจิตบริสุทธิ์แยกตัวออกจากมลทินทั้งปวง ซึ่งมี7ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะที่1 ศีลวิสุทท์ธิ หรือ ความหมดจดแห่งศีล คือ การรักษาไว้ซึ่งศีลอย่างไม่งมงาย ด้วยการมีศรัทธาพละ สมดุลกับ ปัญญาพละ ไม่ศรัทธาจนถืออย่างไม่เข้าใจ หรือมีปัญญามากจนเกิดความลังเลสงสัย ได้แต่รักษาไว้ถือไว้แต่ใจกลับไม่มีศรัทธา เพราะการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจรักษา ทำให้สามารถปฏิบัติสมาธิกับวิปัสสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ทั้งจากการที่ร่างกายนั้นถูกควบคุมให้อยู่ในสภาพที่รองรับต่อการปฏิบัติสะมะถะหรือโยคะ และจิตที่จะเข้าถึงหรือทรงไว้ซึ่งสัมมาทิฏฐิ ในคัมภีร์วิสุทท์ธิมรรค ได้กล่าวถึงปาริสุทธิศีล4 ซึ่งหมายถึงความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีลมีสี่ข้อ ได้แก่ )ปาริสุทธิศีลข้อที่1.ปาฏิโมกขะสังวรศีล หมายถึง ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ รู้ควรหรือมิควร ตามเหตุและปัจจัยในสิกขาบท ไม่กระทำสุดโต่งทางใดทางหนึ่ง คือไม่หย่อนยานจนไม่สมควร และไม่เคร่งครัดจนเกินสมควร )ปาริสุทธิศีลข้อที่2.อินซียะสังวรศีล หมายถึง ศีลคือความสำรวมอินทรีย์6 ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมเกิดขึ้นได้ ในขณะที่รับรู้อินทรีย์ทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ )ปาริสุทธิศีลข้อที่3.อาชีวปาริสุทธิศีล หมายถึง ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีพในทางที่ชอบธรรม )ปาริสุทธิศีลข้อที่4.ปัจจัยสันนิสิตศีล หมายถึง ศีลที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่ คือ การพิจารณาใช้สอยปัจจัย ให้เป็นไปตามประโยชน์ที่แท้ของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา เช่น ไม่บริโภคด้วยความอยากรับประทาน ไม่บริโภคด้วยความอยากที่จะอยากใช้สอย ))ลักษณะที่2 จิตตะวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งจิต คือ จิตที่สมดุล เพราะวิริยะพละ เสมอกับ สมาธิพละ ทำให้สมาธิก็สมดุล วิริยะก็สมดุล เป็นปัจจัยให้สติกำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันขณะ ได้อย่างพอดี ไม่ไปในอนาคตเพราะวิริยะมีมากไป ไม่อยู่ในอดีตเพราะสมาธิมีกำลังมากไป เป็นการฝึกอบรมจิตจนบังเกิดขณิกะสมาธิที่ปราศจากนิวรณ์ เพราะสติต่อเนื่องจนนิวรณ์ไม่สามารถเข้าแทรกในจิตได้ อันเป็นปทัฏฐานที่สำคัญ ทำให้เจริญวิปัสสนาได้ง่าย ))ลักษณะที่3 ทิฏฐิวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งทิฏฐิ คือ ความรู้เข้าใจ มองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริง เห็นรูปธาตุและนามธาตุเป็นคนละธาตุกันอย่างชัดเจน เป็นเหตุข่มความเข้าใจผิดว่ารูปขันธ์นี้เป็นเราเสียได้ เริ่มดำรงในภูมิแห่งความไม่หลงผิด ))ลักษณะที่4 กังขาวิตะระณะวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย ความบริสุทธิ์ลักษณะที่ทำให้กำจัดความสงสัยได้ คือ กำหนดรู้ปัจจัยแห่งนามรูปได้แล้วจึงสิ้นสงสัย เห็นปฏิจจะสะหมุปะบาท ))ลักษณะที่5 มัคคามัคคะญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องรู้เห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง จิตรับรู้ถึงกระแสแห่งไตรลักษณ์ได้ ))ลักษณะที่6 ปฏิปทาญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งญาณอันรู้เห็นทางดำเนินแห่งวิปัสสนาญาณ9 รู้ทุกขะอริยสัจจ์ทั้ง๘ระดับ จึงรู้สมุทัยอริยสัจจ์ทั้ง๘ จึงรู้นิโรธอริยสัจจ์ทั้ง๘ จึงรู้มรรคอริยสัจจ์ทั้ง๘ และพิจารณาทั้งสิ้นพร้อมกัน (ก็คือสามัคคีธรรม) เมื่อถึงสัจจานุโลมมิกะญาณ คือหมุนธรรมจักรทั้ง๘ และพิจารณาดุจผู้พิพากษาพิจารณาเหตทั้งสิ้น ))ลักษณะที่7 ญาณทัสสะนะวิสุทท์ธิ หมายถึง ความหมดจดแห่งญาณทัสสะนะ คือการปฏิบัติบริบูรณ์จนก้าวผ่านภูมิจิตเดิมคือโคตะระภูญาณและ วิทานะญาณ ได้ความรู้แจ้งในอริยมรรคหรือมรรคญาณ ความบรรลุเป็นอริยบุคคลหรือผลญาณ พิจารณาธรรมที่ได้บรรลุแล้วคือปัจจเวกขะณะญาณ ย่อมเกิดขึ้นในวิสุทท์ธิข้อนี้ เป็นอันบรรลุผลที่หมายสูงสุดแห่งวิสุทท์ธิ หรือไตรสิกขา หรือการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น