ด้วยทุกข์ อันอัดแน่นบีบรัด ทำให้มีแรงบันดาลใจ ไปสู่ ที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยการสลาย สายใยแห่งอุปาทาน ทั้งปวง
โดยรวม พระพุทธเจ้า ได้ชี้แนะ
- การทำจิตใจ ให้บริสุทธิ์ ด้วยสภาพความนิ่งสงบทางกาย และ ทางใจ ด้วยการรู้จัก กลไกธรรมชาติ ในลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า ขันธ์5 ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติ ในการรับรู้สิ่งต่างๆ และตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ออกมาทางอารมภ์ ทางการกระทำ (กาย วาจา นึกคิด)
- จากนั้นเมื่อทุกอย่างนิ่งสงบและบริสุทธิ์แล้ว จะเป็นการง่ายในการสะกดจิตและปลูกฝัง ความเป็นอนัตตาให้กับ จิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นการยากมากในการเข้าถึงและจะปลูกฝังจิตใต้สำนึกได้ในการทำเพียงครั้งหรือสองครั้ง ต้องใช้การทำบ่อยๆ จนกระทั่งเป็น กลไกอัตโนมัติไปเลย ซึ่งต้องอาศัย ความมั่นคงแห่งสติในสภาวะจิตแยกกาย
- ที่สุดแล้ว นำไปสู่ การสลายอุปาทาน ทั้งปวง ไม่ว่าจะด้วย พรหมจรรย์ ความบริสุทธิ์ หรือ ญานปัญญา จนเกิดภาวะ สัมมาวิมุตติ อันซึ่ง เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ ได้เสมอกันแล้ว
ที่สุดแห่ง พุทธศาสนา ไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างเกี่ยวกับ จิตใจ และร่างกาย เพื่อให้จิตใจนั้นบริสุทธิ์ และฝึกความคิดเห็นให้จดจำไปถึงระดับจิตใต้สำนึกให้ได้ ร่างกายหายใจโล่งโปร่ง พร้อมด้วย ความรักความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ให้อยู่กันได้ ด้วยผาสุก ไม่เบียดเบียน กันมากจนเกินไป (ในความเป็นจริง การเบียดเบียนนั้น มีอยู่รำ้ไป ไม่ว่า ทางโลกหรือทางธรรม) ซึ่งความรักความเมตตานี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากหากยังมีความคิดเห็นที่ยังผิดๆ คือความคิดเห็นที่ไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริงโดยไม่มีอคติอยู่ หรือมีอารมภ์ที่ยังขุ่นมัวอยู่ อันนั้นเรียกว่า มาร จะต้องสืบหาและทำความรู้จัก และถ้าสามารถเข้าใจได้ก็พยายามเข้าใจ แต่เพียงรู้จักนั้น ก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายแล้ว การดำเนินชีวิต ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน การดำเนินชีวิต เพียงลำพังนั้นไม่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นในทางโลก หรือ ทางธรรม เช่น เรามีเห็นหรือไม่ พระสงฆ์อยู่ตามลำพัง? เขาเหล่านั้น ก็ยังต้องอยูกันหมู่คณะ และยังต้องอาศัยอุบาสิกา เป็นหลัก
เมื่อเข้าใจท่องแท้ ตามข้างต้น จึงควรรู้ว่า ปัจจัยประกอบที่เป็นเงิน อันเป็นสมมุติของโลกใบนี้ จากวิถีดำเนินชีวิตของชาวโลกใบนี้ สำคัญมาก ไม่ว่าทางโลก หรือ ทางธรรม อาศัยสมมุตินี้ เป็นหลัก
การเข้าวัดเพื่อปฏิบัตินั้น เพื่อเรียนรู้ จึงควรไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อเรียนรู้จนจิตบริสุทธิ์แล้ว จะต้องกลับคืนสู่ชีวิตปกติ กลับไปใช้ชีวิตประจำวันแบบปกติ จะยึดติดอยู่กับวัดไม่ได้เด็ดขาดเพราะนั่นคืออาการหลุ่มหลงและอาจนำพาไปสู่ขั้นเสน่หาได้ ทำให้ตาบอดหรือจักษุทิพย์โดนบดบังได้
ดูตัวอย่าง
ไม่มีผู้ใด อยู่คนเดียวได้ จะต้องมี เพื่อนคู่คิดเคียงข้างเสมอ ซึ่งจะต้องจรรโลงจิตพยุงกันไป อันเป็นส่วนประกอบอันหนึ่งของความเป็นมนุษย์และสัตว์ ควบคู่กันไป การไม่ยึดติดนั้นเป็นการไม่ยึดติดในลักษณะเกี่ยวพันทับถมทุกข์ให้หมักหมม แต่เป็นการปล่อยไปไม่สะสมหรือทับถมถ้าเกิดขึ้นหรือมีขึ้น ตาม นิโรธะคามินีปฏิปทา
- ชีวิต คุณวรรณ ผู้เคยเป็นอัมพฤก และได้เป็นผู้สำเร็จปฐมฌาน ได้สัมมาสัมโพธิญาน ก็ยังต้อง ใช้ชีวิตกับ คู่ครอง ต่อไป
- ชีวิต คุณลักษ ผู้เห็นถึงนิพพาน ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว
- ชีวิต ตั๊ก จะละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ยังต้องทำงานหาเงิน เพื่อปลดภาระต่างๆ และสภาพร่างกายในอนาคต ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง ทั้งในทางโลก และ ทางธรรม เพราะจะมีโรคภัยต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย เช่น ระบบน้ำเหลืองเรื้อรังด้วยเริ่มจากอาการเป็นสิวเรื้อรัง โรคกระเพาะ อาการทางสมองเส้นประสาท นำพาไปสู่ความเสื่อมต่างๆของร่างกายอย่างรวดเร็วในอนาคต ถ้าไม่สามารถหาคนเกื้อหนุนจุนเจือ หรือคู่ครองที่เหมาะสมได้ในอนาคต และถ้ายังคงอยู่ในความเห็นที่ยังไม่สมบูรณ์ และยังคงเป็นไปในลักษณะสุดโต่ง ไม่เป็นธรรมเลย ด้วยการยึดถือทิฏฐิมานะของตนเอง น่าสงสารชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่ง ...ที่เราผ่านมาเห็นมาสัมผัส คงอีก 20-30ปีกระมัง ตั๊กจึงจะสามารถเข้าใจธรรม ที่เราเคยเปรยให้ฟังได้ แต่เมื่อได้พบกันในจังหวะหนึ่งแห่งชีวิตของเรา เราก็พยายามเต็มที่แล้วที่จะให้ความช่วยเหลือทุกประการ
- ชีวิต คุณดา มาถึงฌาน4 และจะเป็นไปด้วยดี และมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีการศึกษาสูง มีเมตตาอยากช่วยที่จะรักษาผู้คน แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตกับครอบครัวอยู่
- ชีวิตเราเองก็คงเหมือนกัน สุดท้ายต้องหาใครสักคนเป็นเพื่อนคู่คิด จึงต้องเร่งทำปัจจัยต่างๆให้พร้อมก่อน เพื่อการดำรงชีวิตในอนคตอย่างน้อย 30 ปีข้างหน้าต่อไป
ณ ลมหายใจสุดท้าย ให้อยู่กับ สงบ สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีที่สิ้นสุด
เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ออกบวชแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ควรปฎิบัติตน 2 ประการ คือ (1) การแสวงหาความสุขทางกามคุณแบบสุดโต่ง ซึ่งทำให้จิตใจต่ำทราม เป็นเรื่องของชาวบ้านที่ยังมีความใคร่ เป็นเรื่องของผู้คนที่ยังมีกิเลสหนา ซึ่งไม่ประเสริฐ เป็นอุปสรรค เปล่าประโยชน์ (2) การปฏิบัติตนอยู่ในความทุกข์ทรมาน ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อร่างกายแบบสุดโต่ง ซึ่งไม่ประเสริฐ เป็นอุปสรรค เปล่าประโยชน์อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขา อะริยัะสัจจัง ชาติปิ ทุกข ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ คือ ความจริงที่ช่วยมนุษย์ให้เป็นผู้ประเสริฐเกี่ยวกับการพิจารณาเห็นทุกข์ เป็นอย่างนี้ คือ การเข้าใจว่า
"เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ล้วนแต่ เป็นทุกข์
แม้แต่ความโศรกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน
ความทุกข์กายทุกข์ใจ ทั้งความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ว่าโดยย่อ การยึดมั่นแบบฝังใจ ว่า เบญจขันธ์ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริงอิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เหตุทำให้เกิดความทุกข์ (สมุหทัย) มีอย่างนี้ คือ ความอยากเกินควร ที่เรียกว่า ทะยานอยาก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด(ก่อเกิดภพ) เป็นไปด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มัวเพลิดเพลินอย่างหลงระเริงในสิ่งที่ก่อให้เกิดความกำหนัดรักใคร่นั้นๆ ได้แก่
(1) ความทะยานอยากในสิ่งที่ก่อให้เกิดความใคร่
(2) ความทะยานอยากในความอยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่
(3) ความทะยานอยากในความที่จะพ้นจากภาวะที่ไม่อยากเป็๋น เช่น ไม่อยากจะเป็นคนไร้เกียรติ ไร้ยศ เป็นต้น อยากจะดับสูญไปเลย ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะ นิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
ภิกษุทั้งหลาย นิโรธ คือ ความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ ดับความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง มิให้ตัณหาเหลือยู่ สละตัณหา ปล่อยวางตัณหาข้ามพ้นจากตัณหา ไม่มีเยื่อใยในตัณหามาถึงตรงนี้ เป็นธรรมะขั้นสูงสุด และ ไม่สามารถเปิดเผยต่อผู้เริ่มปฏิบัติได้เลย จะพบว่า กิเลส ตัณหาทะยานอยาก ความใคร่ สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นความบริสุทธิ์ได้ ซึ่งจะดูเหมือนมีกำลังแห่งความบริสุทธิ์ล้ำและลึกเข้าไป กลายเป็นการเสพกามชนิดหนึ่ง และสนองผลออกมาด้วยความบริสุทธิ์ ตรงนี้แหละ ที่จะทำให้เกิดหลงติด หลงไหล ต่อการเสพฌาน เพื่อเปลี่ยนกิเลส ตัณหาความทะยานอยาก ความใคร่ แล้วติดอยู่ในความบริสุทธิ์ อันเป็นสมมุติและอุปทานเช่นกัน ผู้ที่มี สัมมาทิฏฐิ ดีแล้ว จะต้อง ยุ-ติ-ธรรม เมื่อสภาพ สมุทัย(ต้นเหตุดับลง) หมดลง และ ทรงสภาวะ จิตแยกกาย ในทันที ซึ่งจะเกิด สติ ที่แข็งแกร่ง