จาก บทที่8 กัมมัฏฐานปริเฉท ปฐวีกสินการพิจารณาโทษของกาม และพิจารณาอนิสงส์ของการหลีกออกจากกาม กามนั้นคือ สิ่งที่ทำให้กลัว และทำให้หลงใหล ซึ่งก็คือรากเหง้าของกิเลส โมหะ โทสะ โลภะ ซึ่งมีคุณน่ายินดีน้อย มีทุกข์มาก ประกอบด้วยโทษเหล่านี้
เมื่อพิจารณาเห็นโทษของกามแล้ว ควรพิจารณาดูอนิสงส์(หรือประโยชน์) ของการหลีกออกจากกาม เรียกว่า เนกขัมมะ ด้วยประการดังต่อไปนี้
- กามเปรียบเหมือนกระดูก เพราะก่อให้เกิดความยินดีน้อย
- กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ เพราะมันถูกติดตามโดยทุกข์มากมาย
- กามเปรียบเหมือนคบเพลิงที่ลุกไหม้ ซึ่งบุคคลถือเดินฝ่าลมไป เพราะมันเผาใหม้
- กามเปรียบเหมือนกับหลุมถ่านเพลิงที่กำลังคุโชน เพราะความยิ่งใหญ่ และความเล้ก
- กามเปรียบเหมือนความฝัน เพราะมันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
- กามเปรียบเหมือนสิ่งของที่ยืมมา เพราะบุคคุลไม่สามารถชื่นชมมันได้นาน
- กามเปรียบเหมือนกับต้นไม้ผล เพราะมันถูกคนทั่วไปตัดโค่นอยู่เสมอ
- กามเปรียบเหมือนดาบ เพราะมันตัด เป็นช้นเล็กชิ้นน้อย
- กามเปรียบเหมือนเข็มหมุดที่แหลมคม เพราะมันเสียดแทง
- กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ เพราะมันเป็นของน่ากลัว
- กามเปรียบเหมือนกลุ่มด้ายที่ถูกลมพัดกระจากออกไป เพราะมันไม่ถูกขัดขวางโดยธรรมชาติ
- กามเปรียบเหมือนภาพมายา เพราะมันทำให้คนโง่งมงาย
- กามเปรียบเหมือนความมีด เพราะมันทำให้มืดบอด
- กามเปรียบเหมือนเครืองกีดขวาง เพราะมันขัดขวางหนทางแห่งความดี
- กามเปรียบเหมือนการหลงทาง เพราะมันทำให้สูญเสียสัมมาสติ
- กามเปรียบเหมือนความสุกงอม เพราะมั้นต้องผุพังไปเป็นธรรมดา
- กามเปรียบเหมือนโซ่ เพราะมันผูกคนหนึ่งติดกับอีกคนหนึ่ง
- กามเปรียบเหมือนมหาโจร เพราะมันขโมยคุณค่าของสิ่งที่ดีไป
- กามเปรียบเหมือนรังของโทสะ เพราะมันทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท
- กามเปรียบเหมือนพาหนะที่เต็มไปด้วยทุกข์ เพราะมันทำให้เกิดความคับแค้นที่ประมาณมิได้
การได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยการให้ทานนี้ คือ ปัญญาอันสูงส่ง เป็นความดีสูงสุดในบรรดาภพทั้งหลาย เรียกว่าอยู่เหนื้อโลกทั้ง3
- การกำจัดนิวรณ์
- การอยู่ด้วยวิมุตติ
- ความยินดีในความสงัด
- การอยู่เป็นสุขและมีสติ
- ความสามารถอดทนต่อทุกข์
- การทำกุศลให้พร้อมมูล
- และการบรรลุขั้นต้นซึ่งผลอันใหญ่ยิ่ง
การหลีกออกไปจากกาม นี้ คือวิเวก ความสงัดเป็นอิสระจากนิวรณ์ เครื่องกีดกั้นทั้งหมด เป็นความสุข เป็นความสิ้นไปแห่งกิเลส เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกไปจากจิตใจ เพราะการปฏิบัตินี้ บุคคลสั่งสมแล้ว บุคคลชื่อว่า บรรลุความสงบภายใน
ความฟุ้งซ่านมีอยู่ 4 ประเภท ความเพียรที่เร่งด่วนเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ความบันเทิง หรือ ปะโมท และความท้อถอยเหนื่อยล้า เมื่อจิตตกอยู่ในสภาวะแห่งความขัดเคือง ในทันทีนั่นเอง เธอก็ครอบงำและละทิ้งความขัดเคืองโดยใช้กำลังแห่งสติและสมาธิ เมื่อจิตของเธอตกอยู่ในสภาวะแห่งความประมาท ควรครอบงำและละทิ้งสภาวะนั้นเสีย ด้วยกำลังแห่งสติและวิริยะ เมื่อมีใจบันเทิงตกอยู่ในความกำหนัด ควรละทิ้งความกำหนัดในทันที เมื่อมีใจเหนื่อยล้า ตกอยู่ในความโกรธ ควรละทิ้งความโกรธในทันที บุคคลย่อมทำให้สำเร็จใน 4 สถานนี้และทำจิตของตนให้ดำเนินไปในทิศทางเดียว ถ้าจิตของตนดำเนินไปในทิศทางเดียว เธอย่อมสามารถสร้างนิมิตให้เกิดขึ้นได้
การควบคุมจิต และ บังคับจิต
ยังต้องมีฐานจาก การเอาใจใส่ทำความสะอาดวัตถุทางกาย 3 อย่าง อันได้แก่ การบริโภคอาหารที่เหมาะ การได้รับและได้สูดอากาศที่เย็นสบาย การวางอิริยาบถที่สบาย บังคับจิตด้วยวิธีการ 2 อย่าง เพื่อขจัดการกวัดแกว่งเที่ยวแสวงหาอารมภ์ใกลอันไม่สมควรและเกิดความวุ่นวายใจ
1 ด้วยความเพียรอย่างแรงกล้า
ควบคุมจิตด้วยวิธีการการ 2 อย่าง
2 ด้วยการใคร่ครวญตรวจสอบอารมภ์1 ปลูกความเพียร
ถ้าจิตยังเตร็ดเตร่ไปหาอารมภ์ไม่เหมาะสม ควบคุมจิตนั้นโดยพิจารณาผลร้ายแหงการกระทำเช่นนั้น ด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ
2 บริโภคพอประมาณ ทุกวัน1 ใคร่ครวญดูทุกข์ต่างๆ
ความเล่นเล่อของจิต ย่อมเจริญงอกงามเพราะเหตุ 2 อย่างคือ
2 และด้วยการค้นหาผลแห่งการทำชั่ว1 เพราะขาดความเชี่ยวชาญในสมาธิ
เมื่อมีความเลินเล่อมาก จิตก็เฉื่อยชา และ เซื่องซึม หมายถึงว่า ถ้าไม่ได้รับความแตกฉานในสมาธิ จิตย่อมถูกชักนำสู่ความประมาทเพราะความเฉื่อยชานั่นเอง กำจัดเสียด้วยวิธีการ 2 อย่าง
2 เพราะ ความเฉื่อยชาของจิต1 ด้วยพิจารณาคุณความดี
กำจัดความเลินเล่อ (ความง่วงเหงา และเซื่องซึม) ของจิต ด้วยวิธีการ 4 อย่าง
2 ด้วยการเริ่มความเพียรถ้าเป็นคนละโมบ พิจารณาโทษของความเลินเล่อ และใส่ใจการปฏิบัติสังวร 4 กำหนดพิจารณานิมิตสุกสว่าง อยู่ในที่น้ำค้าง ทำจิตให้รื่นเริง และกำจัดความยึดมั่นถือมั่นเสีย
ความเฉื่อยชาของจิต เกิดขึ้นเพราะเหตุ 3 อย่างคือ
1 เพราะมีความเชี่ยวชาญไม่พอ
2 เพราะความโง่เขลา
3 และเพราะไม่ได้รับความสงัดที่สบายถ้าจิตเฉื่อยชา ทำให้เข้มแข็งด้วยวิธีการ 2 อย่างคือ
1 ด้วยความกลัว และ
2 ด้วยความบันเทิงโดยการพิจารณา การเกิด ชรา มรณะ และอบาย4 ความวิตกกังวลและความคับแค้นใจอันเนื่องมาจากความกลัวย่อมเกิดขึ้นในจิต ถ้าพิจารณาพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวดานุสสติ จะมองเห็นอนิสงส์ชองอารมภ์เหล่านี้ ย่อมบันเทิง จากนั้น ทำจิตให้มั่นคงและจดจ่ออยู่ในอารมภ์นั้นเพียงอารมภ์เดียว หลีกเว้นผู้ที่ไม่ฝึกสมาธิและเข้าคบหากับผู้ที่ฝึกสมาธิ และสุดท้ายน้อมจิตเข้าสู่อัปนาสมาธิ คือ ภาวะแห่งอารมภ์เดียว ในด้านของความวิเวกนั้น มีอยู่ 3 อย่างคือ
กายวิเวกคือ ปลีกกายออกจากกาม อยู่ในสถานที่ธรรมชาติ จิตวิเวกคือ มีจิตบริสุทธ์ สะอาด อุปธิวิเวก คือ แยกตัวออกจากหมู่เหล่า ตัดขาดความเกิดและความตาย อนึ่งวิมุตติมีอยู่ 5 อย่าง หลุดพ้น ด้วยการข่มไว้ อาศัย ปฐมฌาน เพื่อข่มนิวรณ์5 ไว้ หลุดพ้น ด้วยหมดฤทธิ์ไป อาศัย โยนิโสมนสิการ ชำแรกกิเลสแยกแยะออก และข่มทิฏฐิไว้ หลุดพ้น ด้วยการตัดขาด อาศัย โลกุตตะธรรม ปัญญาในจิตทำให้เกิดการตัดขาดอย่างสิ้นเชิง หลุดพ้น ด้วยความสงบ อาศัย โพชฌงค์7 หลุดพ้น ด้วยการสลัดคืน อาศัย การพลิกจิต
- กายวิเวก
- จิตวิเวก
- อุปธิวิเวก
จากวิสุทธิมรรค หน้า 156 "ประโยชน์ของการกำหนดลมหายใจ" ถ้าผู้ปฏิบัติ กำหนดสติด้วย การหายใจ จะบรรลุถึงความสงบสุขที่สวยงามน่ารักและเบิกบาน ผ่อนคลาย ทำให้สภาวะมืดมนเศร้าหมองและ เป็นบาป จะหายไปและจะดับไปในทันทีมันเกิดขึ้น ทำให้เห็นซึ่งสภาวะต่างๆทางร่างกายหรืออวัยวะ กายและใจไม่โยกโครงหรือสั่นคลอน 7 เติมเต็ม 4ฐานรากแห่งสติ(สติปัฏฐาน4) , เจ็ดปัจจัยการตรัสรู้และเสรีนิมิต (image)(โพชฌงค์7 และวิมุตติ) ได้รับการสรรเสริญ เป็นวิหารธรรมของอริยะ และของพรหมและ Tathagata 1 วิธีการดำเนินการ "ขั้นตอนคืออะไร?": โยคีใหม่เข้าสู่ สู่โคนไม้ หรือไปยังที่โล่ง นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มีสติเฉพาะหน้า มีสติอยู่กับลมหายใจ ระวังลมหายใจออก รู้ หายใจออกหายใจยาว: "ผมหายใจออกหายใจยาว"; หายใจในลมหายใจยาวเขารู้ว่า "หายใจเข้าหายใจยาว"; หายใจในลมหายใจสั้น ๆ ที่เขารู้ว่า "หายใจเข้าลมหายใจสั้น"; เขาหายใจออกลมหายใจสั้น ๆ ที่เขารู้ว่า "หายใจออกลมหายใจสั้น" ดังนั้น จึงรู้ว่า "กำลังหายใจเข้า แบบนั้นมีลักษณะเช่นนั้น" ดังนั้น จึงฝึกตนเองแบบนั้น "ฉันกำลังหายใจออก แบบนั้นมีลักษณะแบบนั้น" ดังนั้น จึงฝึกตัวเองเช่นนั้น (เรียนรู้ประสบการณ์ไปทั่วร่างกาย; ทำให้ร่างกายมีการก่อตัวเข้าสู่ความสงบ) ประสบกับความปราโมทย์ ประสบกับความสุข ประสบกับอารมภ์เยือกเย็น ทำให้อารมภ์หรือจิตก่อตัวสู่ความสงบ ทำใหใจยินดีเบิกบาน ใจจดจ่อเป็นสมาธิ ใจเป็นอิสระจากใจ ใจเห็นสิ่งไม่เที่ยง, ใจเห็นสิ่งเป็นอคติ, จึงยุติ, จึงสละ, ดังนั้น จึงฝึกตัวเองเช่นนี้ "ยุติและสละ หายใจออก ในลักษณะเช่นนี้" ดังนั้นจึงตนเองดังนี้ "ยุติและสละ หายใจเข้า ในลักษณะเช่นนี้" ดังนั้นจึงฝึกตนเองเช่นนี้ 2 ที่นี้ ฝึกตัวเองในการ "หายใจเข้า" หมายถึง "สติ จับอยู่ที่จมูกปลายหรือบนริมฝีปาก " 3 เหล่านี้เป็นตำแหน่งที่จะสัมผัสกับลมหายใจ และหายใจออก โยคี เอาใจใส่กับลมหายใจที่เข้ามา พิจารณาสัมผัสของการเข้าและออกของลมหายใจ สติ จับอยู่ที่ที่ปลายจมูกหรือปาก หายใจเข้าอย่างมีสติ หายใจออกอย่างมีสติ จนกระทั่ง ความสนใจแห่งลมหายใจนั้นสิ้นไป จิตจะรวมเป็นสมาธิ เขาคิดว่าการติดต่อของ ลมหายใจที่เข้ามาและลมหายใจออกที่จมูกปลายหรือบนริมฝีปากด้วย สติ เขาหายใจเข้าและหายใจออกมาด้วยสติ มันเป็นเหมือน คนที่ได้รับการเลื่อยไม้ คนที่ไม่ได้เข้าร่วมในการจะกลับมา ของเลื่อย ในลักษณะเดียวกับ โยคี ไม่ได้เข้าร่วมในการรับรู้ของ ขาเข้าและลมหายใจออกในสติของการหายใจ เขาเป็น ตระหนักถึงการสัมผัสที่จมูกปลายหรือบนริมฝีปากและเขาหายใจเข้าและออก มีสติ หากเมื่อลมหายใจมาในหรือออกไป โยคี พิจารณา ภายในหรือภายนอกจิตใจของเขาจะฟุ้งซ่าน ถ้าความคิดของเขาเป็นสมาธิ ร่างกายและจิตใจของเขาจะลังเลใจและตัวสั่น เหล่านี้เป็นข้อเสีย เขา ไม่ควรจงใจหายใจลมหายใจยาวมากหรือสั้นมาก ถ้าเขาจงใจ หายใจลมหายใจยาวมากหรือสั้นมากความคิดของเขาจะได้รับฟุ้งซ่านและของเขา ร่างกายและจิตใจจะลังเลใจและตัวสั่น เหล่านี้เป็นข้อเสีย เขาไม่ควรจะแนบตัวเองเพื่อการรับรู้ที่หลากหลายเชื่อมต่อกับลมหายใจ ไอเอ็นจีในและหายใจออก ถ้าเขาไม่ให้ปัจจัยอื่น ๆ ของเขาจิตจะ disturb- เอ็ด ถ้าความคิดของเขาถูกรบกวนร่างกายและจิตใจของเขาจะลังเลใจและตัวสั่น ดังนั้นอุปสรรคนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเพราะจุดของการติดต่อเข้ามาของ ลมหายใจและลมหายใจออกนับไม่ถ้วน เขาควรจะต้องระวังและ ไม่ควรปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน เขาไม่ควรเรียงความ stienuously เกินไป หรือ laxly เกินไป ถ้าเขาเรียงความ laxly เกินไปเขาจะตกอยู่ในความแข็งแกร่งและชา ถ้า เขาเรียงความแรงเกินไปเขาจะกลายเป็นกระสับกระส่าย ถ้า โยคี ตกอยู่ใน ความแข็งแกร่งและความชาหรือกลายเป็นกระสับกระส่ายร่างกายและจิตใจของเขาจะลังเลใจและ ตัวสั่น เหล่านี้เป็นข้อเสีย เพื่อ โยคี ที่เข้าร่วมในการหายใจที่เข้ามาด้วยใจที่บริสุทธิ์ เก้ากิเลสน้อยกว่านิมิต (image) เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่ดีที่คล้ายกัน กับที่มีการผลิตในการกระทำของผ้าฝ้ายปั่นหรือผ้าฝ้ายผ้าไหม นอกจากนี้ มันจะเอาไปเปรียบกับความรู้สึกที่ถูกใจผลิตโดยสายลม 1 ดังนั้นในการหายใจ ทั้งในและนอกอากาศสัมผัสจมูกหรือปากและทำให้การตั้งค่าขึ้นของอากาศที่แน่นอนได้ ception สติ นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีหรือรูปแบบ 2 นี้เรียกว่านิมิต (image) ถ้า โยคี พัฒนานิมิต (image)และเพิ่มความมันที่ปลายจมูก หรือ ระหว่าง-คิ้วตา หรือ บนหน้าผาก หรือกำหนดไว้ในหลายๆตำแหน่ง 3 จะรู้สึกว่า มีอาการหัว หมุน หรือล่องลอย เมื่อเพิ่มขึ้น จะมีความรู้สึกว่า ร่างกายทั้งหมดถูกระตุ้นอย่างมีความสุขสบายใจ เรียกสภาวะแบบนี้ว่า ความสมบูรณ์ และหาก เห็นนิมิต (image) หลายนิมิต (image)จากจุดเริ่มต้น เห็นรูปแบบต่างๆเช่น ควัน หมอก ฝุ่น ทรายทอง หรือ มีประสบการณ์ สิ่งที่คล้ายกับของเข็มตำหรือการมดกัด ถ้าจิตใจไม่โล่งโปร่งและละทิ้งนิมิต (image) เหล่านี้ จะเกิดความสับสน หากจิตใจโปร่งโล่ง โยคี จะไม่เผชิญกับความสับสน ก็จะจดจ่ออยู่กับการหายใจและไม่ก่อให้เกิดการรับรู้ที่เกิดขึ้นอื่น ๆ การทำสมาธิดังนี้ทำให้สามารถที่จะยุติความสับสนและเข้าถึงนิมิต (image)ที่ละเอียดอ่อน และเขาจดจ่ออยู่กับการหายใจด้วยใจที่เป็นอิสระ นิมิต (image)ที่เป็นอิสระ เพราะนิมิต (image)ที่เป็นอิสระปรารถนาเกิดขึ้น ความปรารถนาที่เป็นอิสระ, โยคี จดจ่ออยู่กับ การหายใจและมีความเบิกบาน ความปรารถนาและความสุขที่เป็นอิสระ ทำให้จดจ่ออยู่ได้กับการหายใจที่มีความสมดุล ความสมดุลย์ ความปรารถนาและความสุขที่เป็นอิสระ ทำให้การจดจ่อกับการหายใจและจิตใจของเขาไม่ได้ถูกรบกวน ถ้าความคิดของเขาไม่ได้ถูกรบกวน เขาจะทำลายอุปสรรค และก่อให้เกิดกระตุ้นปัจจัยแห่งสมาธิระดับฌานขึ้น ดังนั้น โยคี นี้จะถึงความสงบและสมาธิประเสริฐแห่งรูปฌาน ซึ่งเป็นคำสอนที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น