อ้างอิง: http://buddhaoat.blogspot.com/p/blog-page_141.html
อานิสงส์สูงสุดแห่งอานาปานะสติ ๒ ประการ คือ อะระหัตตะผลในปัจจุบัน หรือถ้ายังมีการก่อให้เกิดอยู่ ก็จะเป็น อนาคามี))
อานิสงส์แห่งอานาปานะสติ๗ ประการ โดยมีสติรู้ หายใจเข้า มีสติรู้ หายใจออก )
โดยการมีสติระลึกว่า )
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง )
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่)
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ )
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข )
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตะสังขาร )
เราเป็นผู้ทำจิตตะสังขารให้รำงับอยู่ )
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต )
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ )
เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ )
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ )
เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ )
เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ)
เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ)
เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ )
ดังนี้ มีผลอนิสงต่อ ระยะเวลาเสวยผลแห่งอะระหัตตะผลและระยะเวลาแห่งการปะรินิพพาน
))
เจริญอานาปานะสติ เป็นเหตุให้สติปัฏฐาน๔ – โพดช์ฌงค์๗ – วิชชา และวิมุตติบริบูรณ์) อานาปานะสติบริบูรณ์ ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์) สติปัฏฐานบริบูรณ์ ย่อมทำโพดช์ฌงค์ให้บริบูรณ์) โพดช์ฌงค์บริบูรณ์ ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์))
เจริญอานาปานะสติ เป็นเหตุให้สติปัฏฐาน๔ – โพดฌ์ชงค์๗ –วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ (เป็นอีกสูตรหนึ่ง)) ))
สติปัฏฐานบริบูรณ์ เพราะอานาปานะสติบริบูรณ์) โพดช์ฌงค์บริบูรณ์ เพราะสติปัฏฐานบริบูรณ์) วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ เพราะโพดช์ฌงค์บริบูรณ์) )
การเจริญอานาปานะสติ (ตามนัยแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร) เมื่อเจริญอานาปานะสติ ก็ชื่อว่าเจริญกายะคะตาสติ ))
อานาปานะสติ เป็นเหตุให้ถึงซึ่งนิพพาน อานาปานะสติสมาธิ เป็นเหตุให้ละสังโยชน์ได้ อานาปานะสติสมาธิ สามารถกำจัดเสียได้ซึ่งอนุสัย อานาปานะสติสมาธิ เป็นเหตุให้รอบรู้ซึ่งทางไกล (กล่าวคือ มองเห็นถึงอวิชชาที่แฝงเร้นอยู่ แม้อวิชชานั้นจะละเอียดปานใด ก็จะสามารถรู้ทันและเห็นได้ ) อานาปานะสติสมาธิ เป็นเหตุให้สิ้นอาดสะวะ ))
แบบการเจริญอานาปานะสติที่มีผลมาก (แบบที่หนึ่ง) หายใจเข้าออก รู้สั้น รู้ยาว))
เจริญอานาปานะสติ มีอานิสงส์เป็นเอนกประการ จิตหลุดพ้นจากอาดสะวะ ละความดำริอันอาศัยเรือน ควบคุมความรู้สึกเกี่ยวความไม่ปฏิกูล เป็นเหตุให้ได้สมาธิในระดับรูปสัญญาทั้งสี่ เป็นเหตุให้ได้สมาธิในระดับอรูปสัญญาทั้งสี่ เป็นเหตุให้ได้สัญญาเวดทะยิตนิโรธ รู้ต่อเวทนาทุกประการ
แบบการเจริญอานาปานะสติที่มีผลมาก (แบบที่สอง) โดยการเจริญสติสัมโพชด์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญธัมมะวิจะยะสัมโพชด์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญวิริยะสัมโพดช์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญปิติสัมโพชด์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญปัสสัทธิสัมโพชด์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญสมาธิสัมโพชด์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืน )โดยการเจริญอุเบกขาสัมโพดช์ฌงค์))
เจริญอานาปานะสติมีอานิสงส์เป็นเอนกประการ (อีกสูตรหนึ่ง) เมื่อเจริญสัมโพดช์ฌงค์ ที่อาศัย วิเวก ความจางคลาย ความดับ และสลัดคืนแล้ว )ได้บรรลุมรรคผลในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์มาก เพื่อความเกษมจากโยคะมาก เพื่อความสังเวดมาก เพื่ออยู่เป็นผาสุกมาก ))
เจริญอานาปานะสติ ชื่อว่า ไม่เหินห่าง จากฌาน อานาปานะสติ : เป็นสุขขะวิหาร ระงับได้ซึ่งอกุศล อานาปานะสติ : สามารถกำจัดบาปอะกุศลได้ทุกทิศทาง อานาปานะสติ : ละ ได้เสียซึ่งความฟุ้งซ่าน อานาปานะสติ : ละ เสียได้ซึ่งความคับแค้น อานาปานะสติ : วิหาระธรรมของพระอริยะเจ้า เจริญอานาปานะสติ : กายไม่โยกโคลง จิตไม่หวั่นไหว เจริญอานาปานะสติ เป็นเหตุให้ รู้ลมหายใจอันมีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ธรรมเป็นเครื่องถอนอัดสะมิ มานะ คือความถือตัวถือตนในปัจจุบัน
วิธีการบ่มวิมุตติให้ถึงที่สุด เพื่อทำให้เจโตวิมุตติบริบูรณ์ ด้วยธรรมห้าประการ
เป็นผู้มีมิตรดี )เป็นผู้มีศีลที่สำรวมแล้ว )เป็นผู้ได้มาซึ่งปราดถะหนาได้แก่ มักน้อย เพียงพอ สงัด ไม่คลุกคลี หมั่นเพียร สำรวมในศึล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ ) เป็นผู้มีความเพียรต่อการละอกุศลธรรม ) เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาในการเข้าถึงสัจจะธรรมแห่งการตั้งขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ และชำแรกกิเลสนั้นๆ จนดับไป )และเจริญธรรมสี่ประการดังนี้ยิ่งๆขึ้นไป เจริญอะสุภะเพื่อละราคะ เจริญเมตตาเพื่อละพะยาบาท เจริญอานาปานะสติเพื่อตัดวิตก เจริญอะนิดจะสัญญา เพื่อถอนการยึดตัวตน เมื่อเจริญอะนิดจะสัญญาแล้ว อะนัตตะสัญญาย่อมมั่นคง
))
ธรรมมะสัญญา10ประการ ครอบคลุมถึง อะนิจจังแห่งขันธ์5) อนัตตาแห่งอายะตะนะ ความไม่งามแห่งกาย)
เห็นเจ็บเห็นโรคแห่งกาย )
ปะหานสัญญาโดยไม่ยอมรับไว้ซึ่งกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก(หรือจ้องจดจ่อต่อการเบียดเบียน) อกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมละบรรเทากระทำให้สิ้นให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป)
วิราคะสัญญาโดยสลัดคืนการก่อให้ เกิดทั้งปวงจากตัณหา ทำให้จางคลาย จนดับเย็น)
ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ให้เห็นประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต
ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนอุทะปาทิทั้งปวง)
นิโรธะสัญญาโดยการดับทั้งปวง จนเป็นความดับเย็น)
ละอนุสัยหรือความเคยชิน โดยการงดเว้นไม่เข้าไปยึดถืออยู่ โดยความสำคัญหรือสมมุติในโลกทั้งปวงคือสิ่งที่ไม่น่ายินดี)
ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งปวง เห็นความไม่เที่ยงในสังขาร))
ในฐานะแห่งการรักษาโรคด้วยอำนาจสมาธิ
ธรรมมะแวดล้อม
ธรรมเป็นอุปการะเฉพาะแก่อานาปานะสติภาวนา ))
(ตามนัยที่ หนึ่ง สองและสามดังนี้) มักน้อย กิจน้อย เลี้ยงง่าย สันโดษแห่งชีวิต เป็นผู้มีท้องอันพร่อง ตื่นอยู่เสมอ แทงตลอดด้วยสัมมาทิฏฐิ จิตแยกกายเห็นการไม่เกี่ยวโยงที่ก่อให้เกิดการขุ่นมัวใดๆได้ในจิต ตามลำดับแห่งวิมุตติ))
นิวรณ์เป็นเครื่องทำกระแสจิตไม่ให้รวมกำลัง ภืกษุเมื่อละนิวรณ์แล้ว ทำญานวิเศษให้แจ้งได้ด้วยปัญญาอันมีกำลังเหมือนแม่น้ำที่เขาอุดรูรั่วทั้งสองฝั่งเสียแล้วมีกระแสเชี่ยวแรงมากฉะนั้น))
นิวรณ์ – ข้าศึกแห่งสมาธิ อันได้แก่ กามฉันทะ พยาบาท ถีนะมิทธะ อุดธัจจะ กุกุกจะ และวิจิกิจฉา เมื่อปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว จักเป็นผู้เข้าถึงความสงบแห่งจิต ))
ข้อควรระวัง ในการเจริญสติปัฏฐานสี่ เห็นกายในกาย เวทนาในเวดทะนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แต่ไม่ต้องพะวงกับสิ่งเหล่านี้))
เหตุปัจจัยที่พระศาสนาจะตั้งอยู่นานภายหลังพุทธะปรินิพพาน ด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่เหล่านี้แล))
อานิสงส์แห่งกายะคะตาสติ เพื่อได้ถึงซึ่งปัญญาแห่งจิต อันคม ชัดเจน และแจ่มชัด จึงได้ชื่อว่า เห็นสัจจะธรรมที่เป็นอะมะตะ หรือ เห็นความเป็นจริงที่จะดำรงความเป็นจริงนั้นตลอดกาล นี่คือความอะมะตะ นั่นเอง))
อานิสงส์แห่งอานาปานะสติ ๗ ประการ
ภิกษุ ทั้งหลาย. อานาปานะสติอันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ ก็อานาปานะสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร
จึงมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ ?
ภิกษุทั้งหลาย. ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ
ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอนั้นมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก :
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตะสังขาร หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตะสังขาร หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตะสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตะสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”);
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิต
ให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่
หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”)
เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”)
ภิกษุ ทั้งหลาย. อานาปานะสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ภิกษุ ทั้งหลาย. เมื่ออานาปานะสติ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว
อยู่อย่างนี้ ผลอานิสงส์ ๗ ประการ
ย่อมเป็นสิ่งที่หวังได้.
ผลอานิสงส์ ๗ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ?
ผลอานิสงส์ ๗ ประการ คือ :-
๑. การบรรลุอะระหัตตะผลทันทีในปัจจุบันนี้.
๒. ถ้าไม่เช่นนั้น ย่อมบรรลุอะระหัตตะผลในกาลแห่งมรณะ.
๓. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยะสัญโญชน์๕
ย่อมเป็นผู้จะปะรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ถึงกึ่ง).
๔. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยะสัญโญชน์๕
ย่อมเป็นผู้จะปะรินิพพานเมื่อใกล้จะสิ้นอายุ).
๕. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยะสัญโญชน์๕
ย่อมเป็นผู้จะปะรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากนัก).
๖. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยะสัญโญชน์๕
ย่อมเป็นผู้จะปะรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก).
๗. ถ้าไม่เช่นนั้น เพราะสิ้นโอรัมภาคิยะสัญโญชน์๕
ย่อมเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อะกะนิฏฐะภพ).
ภิกษุ ทั้งหลาย. อานาปานะสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ผลอานิสงส์ ๗ ประการ
เหล่านี้ ย่อมหวังได้ ดังนี้.
จงไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ให้เห็นประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต
อานาปานะสะติ มีอยู่ 16คู่ คือ
1.หายใจเข้าออกยาว รู้ )ลักษณะนี้เป็นกายานุปัสสะนา))
2.หายใจเข้าออกสั้น รู้ (ลมหายใจเริ่มละเอียดขึ้นเมื่อใจเป็นสมาธิ )ลักษณะนี้เป็นกายานุปัสสะนา))
3.หายใจเข้าออกกำหนดกองลมทั้งปวง (จิตจะกำหนดแต่กองลมในกาย ถ้าบริกำคำใดอยู่ เช่น พุทโธ คำบริกำจะหายไปเอง )ลักษณะนี้เป็นกายานุปัสสะนา))
4.หายใจเข้าออกเห็นกองลมทั้งปวงสงบ ก็รู้ (จับลมหายใจไม่ได้เหมือนลมหายใจหายไป )ลักษณะนี้เป็นกายานุปัสสะนา))
5.หายใจเข้าออกปีติ เกิด ก็รู้ )ลักษณะนี้เป็นเวดทะนาขันธ์ (มีเพียงปีติและสุข))
6.หายใจเข้าออก สุขเกิด ก็รู้ )ลักษณะนี้เป็นเวดทะนาขันธ์ (มีเพียงปีติและสุข))
7.หายใจเข้าออก กำหนดจิตสังขาร (อารมณ์ต่างๆที่จรเข้ามาปรุงแต่งจิต เช่น รัก ราคะ โกรธ หลง) ทั้งปวง ที่เหลือเพียงอารมณ์อุเบกขา
(ถ้ากำหนดมาตามระดับ)) )ลักษณะนี้เป็นเวดทะนาขันธ์))
8.หายใจเข้าออก เห็นจิตสังขารสงบ ก็รู้ (ช่วงนี้จิตจะไม่กำหนดสัญญา)) )ลักษณะนี้เป็นเวดทะนาขันธ์))
9.หายใจเข้าออก พิจารณาจิต (พิจารณาสภาวะรู้(วิญญาณขันธ์) ว่าจิตพิจารณา รู้ในอานาปานะสติอยู่ )ลักษณะนี้เป็นจิตตานุปัสสะนา))
10.หายใจเข้าออกจิตบันเทิง (มโนสะภาวะที่น้อมพิจารณาเพ่งอยู่ จิตยินดีในองค์ภาวนาคืออานาปานะสติ) ก็รู้ )ลักษณะนี้เป็นจิตตานุปัสสะนา))
11.หายใจเข้าออก จิตตั้งมั่น (ในอารมณ์ฌานของอานาปานะสติ) ก็รู้ )ลักษณะนี้เป็นจิตตานุปัสสะนา))
12.หายใจเข้าออกจิตเปลื้อง (ในอุคคะหะนิมิต และปฏิภาคนิมิต แห่งอานาปานะสติ) ก็รู้ )ลักษณะนี้เป็นจิตตานุปัสสะนา))
13.หายใจเข้าออก พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจัง ) ในขันธ์ทั้ง 5 (มีลมหายใจเป็นตัวแทนรูปขันธ์ )ลักษณะนี้เป็นธรรมมานุปัสสะนา))
14.หายใจเข้าออก พิจารณาโดยไม่ปรุงแต่ง (การไม่ปรุงแต่งภายนอก หรือวิราคะ คือการมีมานะ ให้ค่า ตีราคาสรรพสิ่ง เช่น
ต้นไม้ย่อมมีลักษณะเป็นไปตามธรรมชาติ เราตัดสินว่าต้นไม้นี่ลักษณะสวย ต้นไม้นี่ลักษณะไม่สวย เป็นต้น )ลักษณะนี้เป็นธรรมมานุปัสสะนา))
15.หายใจเข้าออก พิจารณาโดยไม่ยึดติด (การไม่ยึดมั่นภายใน หรือนิโรธ เช่น มีคนนำขวดน้ำมาวางไว้ข้างหน้าเรา ให้เรา
ต่อมามีคนคว้ามันไปกิน เราโกรธว่ากินน้ำเรา คือความยึดมั่นนั้นเพิ่งเกิด เมื่อเราไปยึดไว้ เป็นต้น )ลักษณะนี้เป็นธรรมมานุปัสสะนา))
16.หายใจเข้าออกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ (ปฏินิสะสัคคายะ )ลักษณะนี้เป็นธรรมมานุปัสสะนา))
จัดให้ข้อ1 ถึงข้อ 4เป็นกายานุปัสสะนา))
ข้อ5 ถึงข้อ 8เป็นเวดทะนานุปัสสะนา))
ข้อ9 ถึงข้อ 12จัดเป็นจิตตานุปัสสะนา))
ข้อ13 ถึงข้อ 16จัดเป็นธรรมมานุปัสสะนา))
อานาปานะสติเป็นกรรมฐานที่เหมาะสมกับคนทุกคน และเลือกได้หลากหลาย มีความลึกซึ้งมาก เนื่องจากอานาปานะสติสามารถที่ภาวนา ลัดให้มาสู่สัมมะสะนะญาน1ในญาณ16ได้ โดยไม่ต้องเจริญสติและพิจารณาสัญญา10ไปด้วย เหมือนอย่างอื่นๆ
เมื่อเจริญอานาปานะสติตามข้อ1 สภาวะย่อมเป็นไปโดยลำดับจากข้อ 1 จนถึงข้อ12 จิตจะเป็นปฐมฌาณอันเกิดจากการเจริญสติ (เกิดสัมมะสะนะญาณ) จะพบเห็นขันธ์ทั้งห้าที่หลงเหลืออยู่ในขณะขั้นเกิดดับได้ เมื่อขณะจิตเป็นฌาณ ซึ่งเหลือเพียง10สภาวะ))
โดยที่ข้อ3 ถึงข้อ 4เป็นรูปขันธ์))
ข้อ5 ถึงข้อ 6เป็นเวดทะนาขันธ์ (มีเพียงปีติและสุข))
ข้อ7 ถึงข้อ 8เป็นสังขารขันธ์))
ข้อ9 ถึงข้อ 10เป็นวิญญาณขันธ์))
ข้อ11 ถึงข้อ 12เป็นสัญญาขันธ์))
เมื่อเห็นขันธ์ทั้งห้า ตามตั้งแต่ข้อ1 ถึงข้อ 12 ย่อมเห็นขันธ์ห้า อันมีลมหายใจเป็นตัวแทนแห่งรูปขันธ์ เกิดดับตลอดจนเห็นเป็นอนิจจัง (
ข้อ13หายใจเข้าออก พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงโดยสมบูรณ์
พิจารณาข้อ13ไปจนบรรลุข้อ14 หายใจเข้าออก พิจารณาโดยไม่ปรุงแต่ง ,
15 พิจารณาโดยไม่ยึดติด ,
16 หายใจเข้าออกปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่หวังได้สำหรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี คือจักเป็นผู้มีศีล
สำรวมด้วยการสำรวมในปาติโมก ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลาย
แม้มีประมาณน้อย สะมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายอยู่))
ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่หวังได้สำหรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี คือจักเป็นผู้มีศีล
สำรวมด้วยการสำรวมในปาติโมก ถึงพร้อมด้วยมารยาทและการอยู่ในที่ที่อันควร
มีปะกะติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลาย
แม้มีประมาณน้อย สะมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายอยู่))
ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่หวังได้สำหรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี จะได้รับกถาหรือถ้อยคำที่ได้ฟัง จะเป็นเครืองขูดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นธรรมเครื่องสบายแก่การเปิดโล่งแห่งจิต ได้แก่
เรื่องความปราดถะหนาน้อย) เรื่องความสันโดษ) เรื่องความสงัด) เรื่องการไม่คลุกคลี) เรื่องความเพียร) เรื่องศีล) เรื่องสมาธิ) เรื่องปัญญา)
เรื่องวิมุตติ) เรื่องวิมุตติญานทัสสะนะ) เธอจักเป็นผู้ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ซึ่งกถาเช่นนี้))
ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่หวังได้สำหรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี จักเป็นผู้มีความเพียรอันกล่าวมาแล้ว เพื่อการละซึ่งอะกุศลธรรมทั้งหลาย
เพื่อการถึงพร้อมแห้งกุศลธรรมทั้งหลาย มีกำลังแห่งจิต มีความบากบั่นมั่นคง ไม่เพิกเฉยต่อธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย))
ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่หวังได้สำหรับภิกษุ ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีพวกพ้องดี จักเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องให้รู้ซึ่งความเกิดและความดับ อันเป็นปัญญาที่เป็นอริยะ เป็นเครืองเจาะแทงกิเลส ให้ถึงซึ่งความสิ้นทุกข์โดยชอบ))
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในธรรม5ประการเหล่านี้ พึงเจริญธรรม4ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ
เจริญ อสุภะ เพื่อละ ราคะ)
เจริญ เมตตา เพื่อละ พยาบาท)
เจริญ อานาปานะสะติ เพื่อตัด วิตก)
เจริญ อนิจจะสัญญา เพื่อถอน การยึดถือตัวตน)
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเจริญอะนิจจะสัญญาแล้วนั้น อะนัตตะสัญญา ย่อมตั้งมั่น
ผู้มีอนัตตะสัญญา ย่อมมีการถอนเสียได้ซึ่งการยึดถือตัวตน คือนิพพาน ในทิตฐะธรรมทีเดียว คือมี สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง
เธอจงเสพที่นั่งอันสงัด เช่น ป่าละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หรือล้อมฟางเถิด
นั่งคู้บัลลัง ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ))
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์5อันเป็นเครื่องกั้นจิต จักรู้ซึ่งประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หรือจักกระทำให้แจ้งซึ่งญานทัสสะนะอันวิเศษอันควรแก่ความเป็นอะริยะ ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์ ด้วยปัญญาอันทุบร์พนร์ละภาพ
ไร้กำลังดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ))
อันนิวรณ์5ปิดแล้ว กั้นแล้ว คลุมแล้ว ร้อยรัดแล้ว จักเป็นผู้เข้าถึงสหายแห่งพรม ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกายดังนี้นั้น
นั่นไม่เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้))
เธอจงเสพที่นั่งอันสงัด เช่น ป่าละเมาะ โคนไม้ ภูเขา ซอกห้วย ท้องถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หรือล้อมฟางเถิด
นั่งคู้บัลลัง ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ))
เธอย่อมละอภิดฌาในโลกมีจิตปราศจากอภิดฌา คอยชำระจิตจากอภิดฌาอยู่
ละพยาบาท มีจิตปราศจากพยาบาท
เป็นผู้กรุณา มีจิตหวังเกื้อกูลในสัตว์ทั้งหลาย คอยชำระพยาบาทอยู่
ละถีนะ มีจิตปราศจากถีนะมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีสติสัมปะชันญะ คอยชำระจิตจากถีนะมิดธะอยู่
ละอุดธัดจะกุกุดจะ ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงอยู่ภายใน คอยชำระจิตจากอุดธัดจะกุกุดจะอยู่
ละวิจิกิดฉา ข้ามล่วงวิจิกิดฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวถามว่า นี่อะไรนี่อย่างไรในกุศลธรรมทั้งหลาย คอยชำระวิจิกิดฉาอยู่
ภิกษุนั้น ครั้งละนิวรณ์5 อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำปัญญาให้ถอยกำลังเหล่านี้ได้แล้ว เธอเป็นผู้มีปกติ
เห็นกายในกายอยู่) มีปกติ เห็นเวดทะนาในเวดทะนาทั้งหลายอยู่ ) มีปกติ เห็นจิตในจิตอยู่) มีปกติ เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่
นี่เป็นสภาวะที่มีสติกำกับอยู่จนเห็นทุกอย่างแจ่มชัด)
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปะชันญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้))
มาเถิดภิกษุ เธอจงเป็นผู้มีปกติ เห็นกายในกายอยู่ แต่อย่าพะวงอันเข้าไปประกอบอยู่กับกายเลย)
มาเถิดภิกษุ เธอจงเป็นผู้มีปกติ เห็นเวดทะนาในเวดทะนาทั้งหลายอยู่ แต่อย่าพะวงอันเข้าไปประกอบอยู่กับเวดทะนาเลย)
มาเถิดภิกษุ เธอจงเป็นผู้มีปกติ เห็นจิตในจิตทั้งหลายอยู่ แต่อย่าพะวงอันเข้าไปประกอบอยู่กับจิตเลย)
มาเถิดภิกษุ เธอจงเป็นผู้มีปกติ เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ แต่อย่าพะวงอันเข้าไปประกอบอยู่กับธรรมเลย)
โดยสรุป คือการไม่พะวงนั้นทำได้ด้วยการหยุดนึกคิดในเรื่องๆนั้นนั่นเอง
|
|
18 6 2025 Welcome Guest Main | Sign Up | Login
เปลี่ยน uID ให้ไปที่ ucoz.com
โดย logout ก่อน
|
 |
Login form |
|
 |
 |
Calendar |
|
 |
 |
Entries archive |
|
 |
 |
Tag Board |
|
 |
 |
Search |
|
 |
 |
mp3 |
|
 |
 |
Changing Partner |
|
 |
|