จาก บทที่8 กัมมัฏฐานปริเฉท ปฐวีกสิน ))))
การพิจารณาโทษของกาม และพิจารณาอนิสงส์ของการหลีกออกจากกาม
กามนั้นคือ สิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว และทำให้เกิดหลงใหล ซึ่งก็คือรากเหง้าของกิเลส โมหะ โทสะ โลภะ ซึ่งมีคุณน่ายินดีน้อย มีทุกข์มาก ประกอบด้วยโทษเหล่านี้
))))
1 กามเปรียบเหมือน กระดูก เพราะก่อให้เกิดความยินดีน้อย ))))
2 กามเปรียบเหมือน ชิ้นเนื้อ เพราะมันถูกติดตามโดยทุกข์มากมาย ))))
3 กามเปรียบเหมือน คบเพลิงที่ลุกไหม้ ซึ่งบุคคลถือเดินฝ่าลมไป เพราะมันเผาใหม้ ))))
4 กามเปรียบเหมือน กับ หลุมถ่านเพลิงที่กำลังคุโชน เพราะความยิ่งใหญ่ และความเล้ก ))))
5 กามเปรียบเหมือน ความฝัน เพราะมันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ))))
6 กามเปรียบเหมือน สิ่งของที่ยืมมา เพราะบุคคลไม่สามารถชื่นชมมันได้นาน ))))
7 กามเปรียบเหมือน กับต้นไม้ผล เพราะมันถูกคนทั่วไปตัดโค่นอยู่เสมอ ))))
8 กามเปรียบเหมือน ดาบ เพราะมันตัด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ))))
9 กามเปรียบเหมือน เข็มหมุดที่แหลมคม เพราะมันเสียดแทง ))))
10 กามเปรียบเหมือน หัวงูพิษ เพราะมันเป็นของน่ากลัว ))))
11 กามเปรียบเหมือน กลุ่มด้ายที่ถูกลมพัดกระจายออกไป เพราะมันไม่ถูกขัดขวางโดยธรรมชาติ ))))
12 กามเปรียบเหมือน ภาพมายา เพราะมันทำให้คนโง่งมงาย ))))
13 กามเปรียบเหมือน ความมืด เพราะมันทำให้มืดบอด ))))
14 กามเปรียบเหมือน เครื่องกีดขวาง เพราะมันขัดขวางหนทางแห่งความดี ))))
15 กามเปรียบเหมือน การหลงทาง เพราะมันทำให้สูญเสียสัมมาสติ ))))
16 กามเปรียบเหมือน ความสุกงอม เพราะมันต้องผุพังไปเป็นธรรมดา ))))
17 กามเปรียบเหมือน โซ่ เพราะมันผูกคนหนึ่งติดกับอีกคนหนึ่ง ))))
18 กามเปรียบเหมือน มหาโจร เพราะมันขโมยคุณค่าของสิ่งที่ดีไป ))))
19 กามเปรียบเหมือน รังของโทสะ เพราะมันทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท))))
20 กามเปรียบเหมือน พาหนะที่เต็มไปด้วยทุกข์ เพราะมันทำให้เกิดความคับแค้นที่ประมาณมิได้ ))))
การได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยการให้ทานนี้ คือ ปัญญาอันสูงส่ง เป็นความดีสูงสุดในบรรดาภพทั้งหลาย เรียกว่าอยู่เหนือโลกทั้ง3
)))การหลีกออกไปจากกามนี้ คือวิเวก ความสงัดเป็นอิสระจากนิวรณ์ เครื่องกีดกั้นทั้งหมด เป็นความสุข เป็นความสิ้นไปแห่งกิเลส เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกไปจากจิตใจ เพราะการปฏิบัตินี้ บุคคลสั่งสมแล้ว บุคคลชื่อว่า บรรลุความสงบภายใน
)))ความฟุ้งซ่านมีอยู่ 4 ประเภท ความเพียรที่เร่งด่วนเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ความบันเทิง หรือ ปะโมท และความท้อถอยเหนื่อยล้า เมื่อจิตตกอยู่ในสภาวะแห่งความขัดเคือง ในทันทีนั่นเอง เธอก็ครอบงำและละทิ้งความขัดเคืองโดยใช้กำลังแห่งสติและสมาธิ เมื่อจิตของเธอตกอยู่ในสภาวะแห่งความประมาท ควรครอบงำและละทิ้งสภาวะนั้นเสีย ด้วยกำลังแห่งสติและวิริยะ เมื่อมีใจบันเทิงตกอยู่ในความกำหนัด ควรละทิ้งความกำหนัดในทันที เมื่อมีใจเหนื่อยล้า ตกอยู่ในความโกรธ ควรละทิ้งความโกรธในทันที บุคคลย่อมทำให้สำเร็จใน 4 สถานนี้และทำจิตของตนให้ดำเนินไปในทิศทางเดียว ถ้าจิตของตนดำเนินไปในทิศทางเดียว เธอย่อมสามารถสร้างนิมิตให้เกิดขึ้นได้
)))
หัวข้อที่4 การควบคุมจิต และ บังคับจิต
)))
ยังต้องมีฐานจาก การเอาใจใส่ทำความสะอาดวัตถุทางกาย 3 อย่าง อันได้แก่ บริโภคอาหารที่เหมาะ การได้สูดอากาศที่เย็นสบาย การวางอิริยาบถที่สบาย บังคับจิตด้วยวิธีการ 2 อย่าง เพื่อขจัดการกวัดแกว่งเที่ยวแสวงหาอารมภ์ใกลอันไม่สมควรและเกิดความวุ่นวายใจ
)))
1 ด้วยความเพียรอย่างแรงกล้า )))
2 ด้วยการใคร่ครวญตรวจสอบอารมภ์ )))
ควบคุมจิตด้วยวิธีการ 2 อย่าง )))
1 ปลูกความเพียร )))
2 บริโภคพอประมาณทุกวัน )))
ถ้าจิตยังเตร็ดเตร่ไปหาอารมภ์ไม่เหมาะสม ควบคุมจิตนั้นโดยพิจารณาผลร้ายแห่งการกระทำเช่นนั้น ด้วยวิธีการ 2 อย่าง คือ )))
1 ใคร่ครวญดูทุกข์ต่างๆ )))
2 ด้วยการค้นหาผลแห่งการทำชั่ว )))
ความเลินเล่อของจิต ย่อมเจริญงอกงามเพราะเหตุ 2 อย่างคือ )))
1 เพราะขาดความเชี่ยวชาญ ในสมาธิ )))
2 เพราะ ความเฉื่อยชาของจิต )))
เมื่อมีความเลินเล่อมาก จิตก็เฉื่อยชา และ เซื่องซึม หมายถึงว่า ถ้าไม่ได้รับความแตกฉานในสมาธิ จิตย่อมถูกชักนำสู่ความประมาทเพราะความเฉื่อยชานั่นเอง กำจัดเสียด้วยวิธีการ 2 อย่าง )))
1 ด้วยพิจารณาคุณความดี )))
2 ด้วยการเริ่มความเพียร )))
กำจัดความเลินเล่อ (ความง่วงเหงา และเซื่องซึม)ของจิต ด้วยวิธีการ 4 อย่าง
ถ้าเป็นคนละโมบ พิจารณาโทษของความเลินเล่อ และไส่ใจการปฏิบัติสังวร 4 กำหนดพิจารณานิมิตสุกสว่าง อยู่ในที่น้ำค้าง ทำจิตให้รื่นเริง และกำจัดความยึดมั่นถือมั่นเสีย
)))
ความเฉื่อยชาของจิต เกิดขึ้นเพราะเหตุ 3อย่างคือ
)))
1 เพราะมีความเชี่ยวชาญไม่พอ )))
2 เพราะความโง่ด์เขลา )))
3 และเพราะไม่ได้รับความสงัดที่สบาย )))
ถ้าจิตเฉื่อยชา ทำให้เข้มแข็งด้วยวิธีการ 2 อย่างคือ )))
1 ด้วยความกลัว )))
2 ด้วยความบันเทิง )))
โดยการพิจารณา การเกิด ชรา มรณะ และอบาย4 ความวิตกกังวลและความคับแค้นใจอันเนื่องมาจากความกลัวย่อมเกิดขึ้นในจิต ถ้าพิจารณาพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ และเทวดานุสสติ จะมองเห็นอนิสงส์ของอารมภ์เหล่านี้ ย่อมบันเทิง จากนั้น ทำจิตให้มั่นคงและจดจ่ออยู่ในอารมภ์นั้นเพียงอารมภ์เดียว หลีกเว้นผู้ที่ไม่ฝึกสมาธิและเข้าคบหากับผู้ที่ฝึกสมาธิ และสุดท้ายน้อมจิตเข้าสู่อัปนาสมาธิ คือ ภาวะแห่งอารมภ์เดียว
))ในด้านของความวิเวกนั้น มีอยู่ 3 อย่างคือ
))
กายวิเวก ))จิตวิเวก ))อุปธิวิเวก )))
กายวิเวกคือ ปลีกกายออกจากกาม อยู่ในสถานที่ธรรมชาติ จิตวิเวกคือ มีจิตบริสุทธ์ สะอาด อุปธิวิเวก คือ แยกตัวออกจากหมู่เหล่า ตัดขาดความเกิดและความตาย อนึ่งวิมุตติมีอยู่ 5 อย่าง หลุดพ้น ด้วยการข่มไว้ อาศัย ปฐมฌาน เพื่อข่มนิวรณ์5 ไว้ )หลุดพ้น ด้วยหมดฤทธิ์ไป อาศัย โยนิโสมนสิการ ชำแรกกิเลสแยกแยะออก และข่มทิฏฐิไว้ )หลุดพ้น ด้วยการตัดขาด อาศัย โลกุตตะระธรรม ปัญญาในจิตทำให้เห็นจริงด้วยจิตเกิดการตัดขาดที่จิตอย่างสิ้นเชิง )หลุดพ้น ด้วยความสงบ อาศัย โพชด์ฌงค์7 )หลุดพ้น ด้วยการสลัดคืน อาศัย การพลิกจิต