การเข้าหาความพอใจ และ การถึงที่สุดแห่งความพอใจ เพื่อชดเชยและทดแทนต่อความอาภัพและปมด้อย
เป็นการเลือกจริต ที่เหมาะสมกะเรา อันมาจากพื้นเพของเรา ทั้งหมดกระทำเพื่อสนองต่อความพอใจที่อยู่ลึกๆภายใน หรือ ในจิตใต้สำนึกนั่นเอง เพื่อสนองจนเป็นที่พอใจแล้วหรืออิ่มกับสิ่งนั้นแล้ว หรือเสพจนมากเกินพอแล้ว ก็จะสำรอกกระอักออกมาแบบเบื่อจนอ๊วก การเสพนั้นเป็นไปเพื่อชดเชยและทดแทนต่อความอาภัพและปมด้อยของตนเองมีซ่อนอยู่ลึกๆ ให้ดูเหมือนว่ายังมีอะไรเหนือกว่าคนอื่น เช่น
การเรียนรู้ การแสวงหา มีพื้นฐาน มาจาก พื้นเพของบุคคลเช่นกัน ที่สร้างมาเป็น ตัวตน อุปนิสัย
- บางคนชอบอิทธิฤทธิ์ คนพวกนี้ ขาดดุลยภาพอย่างมาก คือ ขาดเสน่ห์ ขาดความบริบูรณ์ทางใจตั้งแต่วัยเยาว์ โดยมักขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่
- บางคนชอบพิจารณาวิเคราะห์ คนพวกนี้จะมีปัญญาอันเลิศล้ำ ซึ่งตรงข้ามกับ พวกชอบอิทธิฤทฺธิ์
- บางคน นิยมทั้ง อิทธิฤทธิ์ และ วิเคราะห์ พวกนี้กลับกับสองอย่างแรก คนพวกนี้ มีครบบริบูรณ์ แต่ในความบริบูรณ์นั้น ตนเองยังรู้สึกว่า ยังขาดอะไรอยู่ดี จึงแสวงหา
- บางคนหวงวิชา เก็บเงียบในสิ่งที่เรียนรู้ ไม่บอกใคร
- บางคนชอบแบ่งปัน
- บางคนชอบแลกเปลี่ยนสนทนา
การเข้าสุ่ความหยุดนิ่ง จนจิตมีอารมภ์เดียว
เมื่อจิตมีอารมภ์เดียวแล้ว
ไม่ว่าจะเลือกจริตทางใด พื้นฐานแรกที่ต้องกระทำ คือการเข้าสู่สภาพจำศึล คือหยุดอยู่นิ่งๆ ทั้งกายและใจ ด้วยการคลายกายคลายใจ จากสิ่งรบกวนต่างๆ เรียกว่า วิเวก
ระหว่างทาง ขณะยังไม่หยุดนิ่งนั้น สิ่งรบกวนและสิ่งแปรปรวนต่างๆ จะปรากฏขึ้นทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการปรับสภาพเพื่อระบายออกในส่วนเกินของความไม่หยุดนิ่ง สัมมาทิฏฐิที่ดีจะทำให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ ร่างกายเองจะปรับ ธาตุดิน(กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น การขับถ่ายของเสีย) ธาตุไฟ(อุณหภูมิในร่างกาย) ธาตุลมอาจมีก้อนเหมือนลมอุด เกาะ ตามจุดต่างๆ ซึ่งจะสลายด้วยการเรอบ้าง คล้ายๆการสะอึกบ้าง และธาตุน้ำ (ระบบเลือด ระบบน้ำเหลือง รวมถึงของเหลว การขับถ่ายของเสียเหลว ในร่างกายทั้งหมด)
![]()
เมื่อจิตใกล้สภาวะมีอารมภ์เดียว
นั่นหมายความว่า จะต้องมีการกระตุ้นสมองเพื่อเพิ่มกำลังการจดจ่อ ให้ทำงานเพียงหนึ่งเดียว โดยวิธีการใดอันหนึ่ง เช่น
เมื่อถึงตรงนี้ กำลังแห่งจิตที่มีอารมภ์เดียวนั้น เพียงพอต่อการทรงอยู่ได้ ซึ่งจะเป็นฐานให้กับ อรูปฌานทั้ง4 ต่อไป
1. การกำหนดภาพ หรือ ปฏิภาคนิมิต จะทำให้รวมจิตได้ดีขึ้น ซึ่งในขณะนั้น จักษุทิพย์จะมีความกระจ่างชัดเจนเนื่องมาจากม่านตาขยายเต็มที่ ทำให้การเห็นภาพนั้น มีความคมชัดเจน
2. การกำหนดอารมภ์ เป็นนิมิต ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่จะต้องแสกนหาอารมภ์ใดๆ ที่จะทำให้จิตพุ่งจับแน่นกับอารมภ์นั้น มักได้แก่อารมภ์ที่ให้แรงบันดาลใจ ผ่องใสเจิดจ้ามีกำลังใจ เช่น ความวิตกบางชนิด ตวามประทับใจ หรือ ความหมดสิ้นซึ่งความหวังและอนาคตแบบไม่มีอะไรข้างหน้าอีกแล้ว
จะเป็นสภาวะพร้อมใช้งานจิต ไม่ว่าในการทำอิทธิฤทธิ์ หรือ ในการวิเคราะห์พิจารณา หากเป็นไปในทางอิทธิฤทธิ์ จะต้องเข้าสู่อารมภ์ แห่งอรูปฌานทั้ง 4 ให้ได้ด้วย เพื่อรู้จัก และเคยชินกับอารมภ์ของ ความว่างเปล่า อารมภ์แห่งอารมภ์ อารมภ์ไม่มีอะไรอยู่เลยแม้สักนิด อารมภ์จำได้บ้างไม่ได้บ้างดับๆหายๆ กำลังสติจึงแกร่งกล้าพอที่จะดำรงใช้อิทธิฤทธิ์ได้โดยไม่แกว่งไกวขณะใช้อิทธิฤทธิ์
ข้อดีอันนึง ของคนที่พอใจในอิทธิฤทธิ์คือ ผลของมัน จะทำให้จิตใจมีความแน่วแน่ ต่อเป้าหมายที่ตนเองต้องการ แต่ข้อเสียคือจะหลับหูหลับตาเชื่อและยึดมั่นในสิ่งที่ปราถนา และสุดท้ายสิ่งนั้นก็คือสิ่งอันละเอียดอ่อนที่สุดที่แทบจะไม่ทันคิดว่าเป็น คือ ภาวะตัณหาแห่งการชดเชยทดแทนความอาภัพและปมด้อยที่ซ่อนอยู่ และวิภาวะตัณหาแห่งการหลบซ่อนหนีความจริงทางโลก ที่ต้องละในที่สุด
แต่สำหรับคนที่ชอบวิเคราะห์ จะมีจิตใจไปตามเหตุและผลอันเหมาะสมและสมควร ต่อกาลใดๆ
การเข้าสู่นิพพาน เพื่อออกจากวัฏฏสงสาร
การเข้าสู่นิพพานนั้น หรือ การออกจากกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ จะต้องกระทำด้วยปัญญาแห่งจิตใต้สำนึกเท่านั้น ด้วยการฝังสัมมาทิฏฐิต่างๆ เข้าสู่จิตใต้สำนึกด้วยกำลังของฌาน ลึกมากลึกน้อยแล้วแต่กำลังของฌาน
สิ่งที่ต้องฝังเข้าไป
- สัมมาทิฏฐิ
- ความเจิดจ้าแห่งปัญญา เพื่อเห็นทุกอย่างได้ถูกต้องตามความเป็นจริงโดยไม่มีอคติเหลือสิ้น เช่น มารยาท สมบัติผู้ดี เพราะเป็นส่วนที่ทำให้หัวใจสงบไม่ตื่นเต้น อัดฉีด เร่งเร้า
- ความเจิดจ้าแห่งอิทธิฤทธิ์ อภิญญา หรือ วิทยาการ ความสามารถพิเศษเฉพาะตนบางประการ เช่น กำลังความเข้มข้นของจิต ความสามารถในการขจัดสิ่งรบกวนจนจิตสามารถเหลือเพียงอารมภ์เดียว โดยเป็นไปเพื่อแสดงธรรมให้ได้เห็นประจักษ์เพื่ออนุเคราะห์ต่อสัตว์โลกทั้งหลาย อันรวมถึง เทวดา พรหม
- จะต้องค้นหา ความเบื่อหน่ายในจิตให้พบ
- มีความสามารถแยกกายและจิตได้ สภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อหัวใจเต้นเบาและเรียบ ลมหายใจแผ่วเบา จะทำให้ภายในไม่เกิดการกระเทือน
- เด็ดขาดในการดำรงในพรหมจรรย์จนเห็นได้ถึงสรรพสัตว์ต่างๆ เป็นสิ่งที่น่าเมตตาเนื่องจากยังโง่อยู่ที่ไม่รู้จักถึงสภาวะตรงนี้
- การเห็นสมมุติอุปาทานและอนัตตา เป็นสิ่งเดียวกันอย่างแทงตลอด
- สิ่งสำคัญคือ ไม่ปราถนามีการก่อเกิดอีก
- ทุกชัง อนิจจัง อนัตตา เข้าจับทุกสรรพสิ่งที่เข้าสู่จิต
- กลับคืนสู่สภาพปกติ หมายความว่า แรกเกิดมามีแค่ไหน ก็มีแค่นั้น ไม่ไปเพิ่มเติมสิ่งใดๆอีก เช่น ความคิด ความหวัง สภาพร่างกายที่ถูกกระตุ้น ไม่ให้มีการกระตุ้นใดๆ
การปรินิพพาน
การเข้าสู่ความตาย จะมีสามสภาวะ คือ เจ็บปวด หายเจ็บปวด(จะเป็นสุขเหลือเกินเพราะพ้นบ่วงแห่งความเจ็บปวด และความผูกพันกับขันธ์นี้) เข้าสู่ฌาน(ภาวะนี้จิตใต้สำนึกจะทำงานอัตโนมัติ)
ทั้งปวงนี้ อาศัย อินทรีย์5 และ พละ5 ดังนี้ ศรัทธา คือ แรงดลใจ วิริยะ คือ ความมุมานะ สคิ คือ มั่นคงต่อการให้ความสนใจ สมาธิ คือ ความตั้งอกตั้งใจ ปัญญา คือ ใช้ความคิดบริบูรณ์ เพื่อกระทำกิจนั้นๆ ให้บรรลุ
----------------------------------------------
อภิญญา 1 ด้วย ใจมีอารมภ์เดียวก่อน ศึกษาพื้นเพ ของ พระโมคะละ ว่า อะไรเป็น พื้นฐานของแรงบันดาลใจ ที่ต่างจาก พระสารีบุตร และวิธีแสดงฤทธิ์ของพระโมคะละ
โดยรวม การทำสมาธิ คือการจำลองสภาพก่อนตายว่า จิตใจ ความคิด อารมภ์ อยู่ในสภาพไหน โดยหลักแล้วสภาพก่อนตายนี้ ขณะอยู่ในความเจ็บปวดทรมาน จิตไม่สนใจต่อ ความหลังเก่าๆ เลย จะสนใจต่อความเจ็บปวดเฉพาะหน้า อนาคตอาจมีคิดไม่มากนัก เรียกลักษณะนี้ว่า ดำรงสติเฉพาะหน้า เพราะเกิดความสนใจที่เข้มข้นพุ่งเน้นไปที่ปัจจุบีน จิตจะเฝ้าดูการเจ็บปวด ณ ตรงนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากที่พ้นสภาพความเจ็บปวด จิตจะเริ่มเข้าสู่ภวังค์สำหรับคนทั่วไป จะเลื่อนลอยไปตามห้วงอารมภ์ต่างๆนานาที่สะสมประสบการณ์มา แต่สำหรับผู้ที่ฝึกอริยะสัจ4 มา จะไม่ยึดติดอารมภ์เหล่านี้ และจะปัดกิเลสที่เจือปนออกไป ให้จิตอยู่ในสภาพ โล่งๆว่างๆ ตามประสบการณ์ที่เคยประสบมาในนิพพานดิบ
ความเข้าใจสมองและขบวนการจิต รูปกับนามต้องอาศัยกันอย่างใกล้ชิด ขาดเสียแต่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ นอกจากจะไปเกิดในบางภพเท่านั้น (อรูปภพ-มีแต่นาม ไม่มีรูป) จิตในทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นดวง ๆ ในเมื่อมีอารมณ์มากระทบ กระทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไป แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก เกิดดับสลับกันไป อย่างรวดเร็วจนดูเป็นจิตดวงเดียวอยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนดวงไฟฟ้าที่เราเห็น เป็นไฟดวงเดียวตลอดเวลานั้น ความจริงสว่างแล้วดับ ติดต่อกันไปอย่างรวดเร็ววินาทีละ 50 ครั้งการจะทำให้ได้แบบนั้น จะต้องมีการเตรียมสภาพร่างกาย ได้แก่ ลำไส้อยู่ในสภาพท้องพร่อง หัวใจไม่ได้รับสารอาหารที่ไปกระตุ้นการเต้นของหัวใจ สันหลังอยู่ในสภาพตั้งตรงสักประมาณ 24 ชั่วโมง สำรวมวาจาทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่านเกินไป สถานที่อากาศถ่ายเทเหมาะสม มีออกซิเจนเพียงพอแบบสบายๆ เมื่อเตรียมตัวดีพร้อมจึงจะสามารถรวบรวม กำลังจิตในสภาวะก่อนตายได้
กาม นั้นโดยธรรมชาติ คือสิ่งยั่วยวนและยั่วยุ ให้กระตุ้นการเต้นของหัว นำไปสู่การกระตุ้นความคิด และอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมี ที่เกินจำเป็น ทั้งสะสมและไม่สะสมตามอวัยวะต่างๆ (ถึงจะเกิดขึ้นก็ตาม สามารถขจัดออกไปได้ด้วย การทำปัทสัทธิ หรือ ให้อยู่ในสภาพฌาน4 ที่สมบูรณ์ สภาพการยึดติดการหลงใหล และสารเคมี ก็จะถูกขจัด ออกไปได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องกระทำตนถึงกระทั่งสุดโต่ง ยกเว้นกรณี ผู้ที่ปัญญาไม่เพียงพอ ไม่มีความสามารถแยกจิตออกได้อย่างเด็ดขาด จึงจะจำเป็นต้องดำรงตนแบบสุดโต่งรักษากฏระเบียบธรรมวินัย(ทางจิต) อย่างเคร่งครัด แต่การแยกแยะใครเป็นใคร ใครมีความสามารถอย่างไรขนาดไหน นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อน ตนพึงรู้แต่เฉพาะตนได้เท่านั้น บังคับให้คนฉลาดเท่ากันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น อรหันต์บางท่านดำรงอยู่กับสภาพวิมานแต่ไม่ยึดติดทั้งสุขและทุกข์ อรหันต์บางท่านดำรงอยู่แบบสมถะเพราะไม่ต้องหน่วงต้องหนักกับการแยกแยะของจิต ในขณะที่อรหันต์บางท่านดำรงอยู่กับสภาพอบายเช่นการมีวิบากที่ร่างกายแสนสาหัสเช่นนี้ก็มีได้ ดั่งที่มีการกล่าวถึงเป็นตัวอย่างอยู่ในพระไตรปิฏก (ซึ่งเป็นยากที่จะไปสรุปนั่น แม้เป็นอรหันต์แล้ว แต่กลับไม่ใช้ปัญญา ณ ตรงนั้นเพื่อหลีกวิบากเลี่ยงวิบากทางกาย ในขณะที่สามารถทำได้ เพราะท่านเหล่านั้นพอใจในวิบากเช่นนั้น)
ระหว่างรอสภาวะหยุดนิ่ง การทำความเข้าใจสภาพธรรมชาติต่างๆ ตามความเป็นจริง จะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพื่อไม่ให้ความคิดนั้นสะเปะสะปะ มิฉะนั้นหัวใจจะคอยแต่จะพลุ่งพล่านตลอดเวลา ลมหายใจก็เช่นกัน เช่น
เมื่อจิตเข้าสู่สภาพหยุดนิ่งได้แล้ว จะพบเจอความสามารถพิเศษต่างๆ มากมาย ที่ซ่อนเร้นไว้ในจิตใต้สำนึก ซึ่งสามารถนำออกมาใช้งานได้ หากกำลังของจิตและความเข้มข้นเพียงพอ
สภาพภายในร่างกาย ความเป็นจริงแห่งร่างกาย
สภาพความรู้สึก และความเป็นจริงแห่งความรู้สึก
สภาพของความสนใจ และความเป็นจริงของอาการสนใจ
สภาพธรรมชาติทั่วไป และความเป็นจริงของธรรมชาติทั่วไปแต่การจะสำเร็จซึ่งกระบวนนี้ ไม่สามารถกระทำได้โดยหลักการทางโลกสามัญธรรมดา จะต้องอาศัยศรัทธาที่แรงกล้า และสัมมาทิฏฐิ ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า เท่านั้น จึงจะรู้ชัดและรู้อย่างถ่องแท้ได้ มิฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ประสบอาจเป็นเพียงการประสบอย่างบังเอิญขณะที่จิตมีสภาวะสงบที่เหมาะสม
ในการปฏิบัติ ต้องอาศัย คำสอนของพระพุทธเจ้า ได้แก่ อริยะสัจ4 เหตุและปัจจัย กระบวนการเกิดจิตย่อมาได้แก่รู้สึก อารมภ์ และนึกคิด ไตรลักษณ์ คัมภีร์วิมุติมรรค
สำรวม เจียมตัว พรหมจรรย์ สลัดคืน
เป็นภาวะคืนสู่สามัญ หรือ ภาวะปกติที่ดำรงอยู่
การสำรวมนั้นหมายถึง การสำรวมทั้งภายนอกภายใน ทวารทั้ง6 รวมถึง สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ ให้อยู่ในสภาพ พรหมจรรย์ และ สลัดคืน ภายใต้ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แห่ง รู้สึก อารมภ์ นึกคิด สังเกตง่ายๆ จากสภาพ หัวใจและลมหายใจ ที่เดินราบเรียบมั่นคง ไม่กระเทือน
การเจียมตัว เป็นการเน้นการสำรวมอีกครั้ง ในการสำรวมความคิด มิให้ถือดีถือเด่น สำนึกความจริงแห่งตนเสมอว่า ต่ำต้อยอาภัพโชคชะตา เมื่อเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขามีพร้อมทั้งลาภยศสรรเสริญทรัพสินย์เงินทอง พรั่งพร้อมอีกทั้งกิเลสที่เป็นของของตนที่ทำให้เขาสุขสบาย และดำรงอยู่ในกิเลสไม่มีที่สิ้นสุดทำให้เกิดการแข่งขันแย่งชิงละเมิดศึลเพื่อสนองตัณหาโดยไม่ยั้งคิด ไม่ต้องการปรองดองข้องเกี่ยวด้วย ถึงแม้คิดเช่นนี้ จะไม่เป็นธรรมแต่มันเป็นความจริงตลอดกาลในโลกแห่งวัฏฏสงสารที่มีกิเลส3 ผสมผเสสุดหยั่งพรรณา จึงทำให้บุคคลมีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้ จงเจียมตัวสันโดษ อยู่แต่ในสถานะของตน
พรหมจรรย์ หมายถึง ความบริสุทธิ์ สะอาด ภายในกาย และ จิตใจผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะไม่ก่อเกิดอีก จะต้องเข้าไปเห็นความจริงในความจริง ในทุกสาระแก่นสาร (สติปัฏฐาน4 คือเห็นความจริงกายในกาย ความจริงเวทนาในเวทนา ความจริงจิตในจิต และความจริงธรรมในธรรม)
ความเบื่อหน่ายและความเหนื่อยหน่าย เป็นแค่เพียงประตูหนึ่งที่จะนำพาไป แต่ความเบื่อหน่ายเหนื่อยหน่ายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะให้อารมถ์ทรงอยู่แบบนั้น แต่การเข้าไปพบความจริงแห่งความจริง ทำให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์ เกิดขึ้นในจิต ต่างหาก คือสำนึกที่พึงเป็นสติ อยู่เป็นนิจ มิใช่อึกอักอะไร ก็เบื่อหน่าย เบื่อโลก อันนี้เป็นกิเลสขั้นละเอียดมากแห่งถีนะมิทธะ ซึ่งจะได้ยินผู้คนที่ปฏิบัติ หรือ กำลังหาทางหลุดพ้น เผลอพูดออกมาเสมอๆ การเข้าไปเตือนใจ ติเดียน ยังไม่ควรทำ ณ จุดนี้ เพราะปัญญาเขายังไม่ไปถึง ที่จะชี้จุดนี้ให้เห็นได้ในตอนนั้น ต้องปล่อยไปอีกสิ่งหนึ่ง การดำรงธรรม ในสายตาผู้คนนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายมาก หมายความว่า ดำรงตามที่ผู้อยากเห็น ตามที่ผู้คนอยากให้เราเป็น เป็นไปด้วยความกลัว จงเป็นสิ่งที่ตนเป็น แสดงออกถ้าเห็นว่าธรรมนั้นจำเริญแดนทั้ง 3 ของจิต ตามหลักพุทธศาสนา จิตทำงานอยู่ใน 3 แดน คือ
1.แดนปัญจทวาร หมายถึง จิตตื่นจากภวังค์ออกมารับอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อจิตรับอารมณ์ทางทวารทั้ง 5 จิตจะอยู่ในภาวะตื่นตัวเต็มที่ เรียกว่า “วิถีจิต”
2.แดนมโนทวาร หมายถึง จิตตื่นจากภวังค์ขึ้นสู่วิถี แต่ไม่ออกมารับอารมณ์ภายนอก หันเข้ากลับรับอารมณ์ภายในที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ ซึ่งได้แก่ บรรดามโนภาพและจินตภาพต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในมโนทวาร จิตทำงานอยู่ในแดนมโนทวาร ในขณะที่คนกำลังคิดถึงอดีตหรือคิดอย่างลึกซึ้งหรือในขณะทำสมาธิ
3.แดนภวังค์ หมายถึง จิตที่นอนนิ่งอยู่ในฐานเดิมของตนที่ศูนย์กลางของสมอง เป็นจิตกำลังอ่อนไม่ขึ้นสู่ วิถีรับรู้ อารมณ์ ภายนอกใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เกิดดับรับอารมณ์ภายในของตนเองอยู่เป็นปกติ อารมณ์ภายในของจิตในแดนภวังค์ ท่านว่าได้แก่ พลังกรรม ที่ก่อให้ เกิดกรรมนิมิตและคตินิมิต (เพราะจิตจะอยู่โดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ ไม่ได้) ในขณะที่คนนอนหลับสนิทโดยไม่ฝัน หรือในขณะสลบ จิตจะอยู่ในแดนภวังค์
การปรินิพพาน
- จรรโลงจิตขันธ์ (ลมหายใจ กับ หัวใจเต้น) ให้ลมหายใจแผ่วเบา จะได้ยินการสะเทือนของการเต้นหัวใจ ให้หัวใจเต้นช้าและเบา หลังจากนั้นดูให้สมหายใจกับหัวใจเคลื่อนไหวสมดุลย์กัน ทำให้สมถะนั้นสมบูรณ์
- จรรโลงจิตปัญญา เห็นถึงคุณประโยชน์ และ โทษ ของการดำรงในภพต่างๆ ว่า ยังวนเวียนกลับไปกลับมาได้ ระหว่างภพภูมิ ต่างๆ และการหาหนทางออกจากการวนเวียนนี้ ทำได้
เมื้อ ลมหายใจแผ่วเบาแล้ว หัวใจเต้นช้าแล้ว ลมหายใจกับการเต้นของหัวใจเข้าสมดุลย์กันแล้ว คอยรำลึกถึงโทษแห่งการวนเวียนในภพภูมิ คอยปัด โมหะ โทสะ โลภะ ออกเสมอๆ แล้วให้สิ้งนี้สลายดับไปพร้อมๆกับลมหายใจทุกๆลมหายใจจนกว่าลมหายใจจะหมดสิ้น
เห็นสมมติและอุปทาน เป็นสิ่งเดียวกับอนัตตา เห็นสภาพจิตแยกกาย การเข้ามาของผัสสะที่ไม่กระเทือนภายใน เห็นสิ่งล้านสิ่งๆ พร้อมๆกัน เป็นสมมติอุปทาน รู้สึกถึงพรหมจรรย์ ทำให้เห็นชีวิตต่างๆ น่าสงสาร น่าช่วยเหลือ
ปราดถะหนา เปรียบคือ ตัณหา
อุปาทาน เปรียบคือ นึกคิดทึกทักเอาเองเป็นตัวเชื่อมการสร้างภพ คือ ห้วงแห่งอารมภ์ที่เป็นสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการก่อเกิด
![]()
การดับปราดถะหนา
ทางร่างกายคือ พยายามทำให้ลมหายใจ และหัวใจ แผ่วเบา จะทำให้ไม่ไปกระตุ้นอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานเกินจำเป็น
ทางจิตใจ คือ จิตมีอารมภ์เดียว โดยอยู่กับความสะอาดและบริสุทธิ์ แห่งจิตใจการดับอุปาทาน คือหยุดนึกคิดใดๆ
เมื่อสภาวะเข้าที่แล้ว ร่างกายจะเหมือนถูกลอคไว้ นิ่งสนิทดั่งภูเขาหิน ภายในโปร่งโล่งกลวง ม่านตาจะขยายเต็มที่ทำให้สามารถกำหนดมองเห็นภาพใดๆ ชัดเจนเหมือนดั่งลืมตา หากทำให้อารมภ์เป็นหนึ่งเดียวได้ จะสามารถโลดแล่น ไปตามความนึกคิดต่างๆได้ เหมือนดั่ง ไปมาจริงๆ
จิตจะเป็นสุข เมื่อจิต( ไม่ใช่สมอง หรือ ตา) สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ถูกต้องตามความเป็นจริง
มีศรัทธา ต่อสิ่งที่ดี ที่มีอยู่ในตัวเรา คือความใสสะอาดบริสุทธิ์
มีความมุมานะหมั่นเพียร เจริญและดำรงอยู่กับศรัทธานั้น
ดำรงไว้ซึ่งการระลึกถึงต่อศรัทธา
จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับศรุัทธา
ปัญญาจึงมี
อนัตตา ก่อให้เกิดทุกข์ด้วยตัวมันเอง และ อนัตตาดับด้วยตัวมันเอง
ทุกชัง อนิจจัง อนัตตา(ทุกข์) อนิจจัง อนัตตา(ทุกข์) อนิจจัง อนัตตา(ทุกข์) อนิจจัง อนัตตา(สิ้นฤทธิ์)
[รอบสุดท้าย อนัตตาหมดฤทธิลง คลายออกได้วางลงได้ปล่อยไปได้ ไม่กลับมาสนใจอีกเลิกสนใจ]
ร่างกายเราทั้งหมดนี่เองคือตัว โมหะ โทสะ โลภะ จิตทิ้งร่างตลายออกจากร่างปล่อยร่างนี้ไป คือทิ้งกิเลสทั้งปวง
อินทรีย์สงบ จิตระงับ
Organs Calm, Mind deaden / abate / settle / quell / forbear / withhold / refrainคือ อวัยวะภายในทั้งปวง ไม่มีการกระตุ้นตัวเอง หรือ ถูกกระตุ้น และ จิตใจให้หยุดด้วยการนึกคิด
ด้วยสิ้นสงสัย หมดสิ้นความแคลงใจ คลายความต่อเนื่องเบื้องหน้าหมดลง ณ ปัจจุบัน จึงไม่มีภพต่อ ชาติต่อ
เมตตาด้วยการนำพาผู้คน ให้ประสบกับ ความเบิกบานแช่มชื่น สมปราถนาคือความไร้กังวลกรรมเก่านั้น มีอิทธิพล ถ่ายทอดลงสู่ เซลเนื้อเยื่อทุกอณู และตกค้าง ณ ที่นั้น
อันมาภพก่อนและอดีตชาติหนหลัง ถ่ายทอดลงขณะกำเนิดก่อรูปร่างขึ้น หรือแม้แต่สะสมใหม่หลังกำเนิดแล้ว
การได้เข้าไปเห็นกรรมเก่าในอดีต นับเป็นก้าวแรก ที่ได้รู้จัก กรรมนั้นๆ
เป็นหนทางนำไปสู่ การขจัดปัดเป่า ออกได้ ด้วยความบริสุทธิ้ แห่งความสงบลงได้
เริ่มจากลมหายใจ หัวใจ และม่านตาคลาย นำความบริสุทธิ์เข้าสู่ทุกอณูเซล
นี้คือความหมายแห่ง กุศลธรรม หรือกล่าวอีกนัย ส่งผลดี ส่งผลสงบ ต่ออินทรีย์