ฌาน นำทางให้เห็น จิต
เมื่อเห็น จิต ดวงตาธรรม จึงเพียงเริ่มเปิด
เมื่อจิต และ กาย แยกจากกัน จึงเพียงเริ่มต้น แห่งสัจจธรรม
บริสุทธิ์    อิสระ    หนัก-แฝงกับผัสสะ    แทงตลอด    ทิ้ง-สิ่งยึดติด อย่างวางใจ    สติ-แห่งจิต
เมื่อจิตพลิกแล้ว จะเห็น สิ่งต่างๆเป็นแสนเป็นล้าน เป็นสมมติ พร้อมกันเพียงเสี้ยววินาที


บทความนี้ เพื่อเอาไว้ เก็บรวมข้อมูลเท่านั้น
ไม่เหมาะสมที่จะฝึก หรือ ปฏิบัติตาม
เพราะสวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
เนื่องด้วย เป็นไปเพื่อการเคลื่อนไหว ไม่ได้เป็นไปเพื่อความหยุดนิ่ง

ด้วยอาการ ลมปราณเดินนี้ จะต้องทำการสลายลมปราณเหล่านี้ ด้วยการหยุดนิ่ง จับกับลมหายใจโดยการทำ อานาปาณสติที่ บริเวณท้องน้อย หรือ หน้าอก ไม่เอามารวมที่ใดๆ บริเวณใบหน้าเด็ดขาด เมื่อนิ่งมากพอ ลมจะคลายตัวตามจุดต่างๆ ด้วยการเรอ การสำลักลม บริเวณคอหอย ลูกกระเดือก หัวใจ ปอด ตับ อวัยวะๆต่างๆ ที่ลมเข้าไปเกาะอยู่หากการเรอ หรือสำลักลมยังสดุดอยู่ หรือ อึดอัด อาจมาจากความต้องการอากาศที่บริสุทธิ์ มากกว่าเดิม เมื่อลมเหล่านี้หมดแล้ว กายและจิต จึงจะสามารถมั่นคงได้

แท้จริงแล้ว พลังกุลฑาลิณี มีหน้าที่โดยธรรมชาติ เหตุที่มีพลังนี้ เพราะธรรมชาติมี "เหตุผล" ในการสร้างมันขึ้นมาให้อยู่ในกายเรา มันมีหน้าที่ "ถ่ายลมปราณเพื่อสืบพันธุ์" และมันจะตื่นตัวทุกครั้ง ที่มีการเสพกาม จนถึง "จุดสุดยอด" (มันคือ สปาสซั่ม(Spasm ภาวะหลังเกิดการกระตุกสมองพยายามคลายตัว) นั่นเอง ถ้ามีมากเกินไป และถ้าคงไว้ มากเกินไป จะเกินผลเสียร้ายแรง ทำให้บ้า ได้)

กุลฑาลิณี ปกติ แล้ว จะตื่นขึ้นแล้วไหลออกจากจักระที่หนึ่งบริเวณ อวัยวะเพศด้านหน้า พร้อมกับการหลั่งน้ำกาม (ในกรณีเพชายจะให้) ดังนั้น เมื่อเสพกามจึงเหนื่อยอ่อนแรงมาก ราวกับเผาพลาญอาหาร ไปมากมายทีเดียว

เมื่อเพศชายถ่ายลมปราณกุลฑาลิณีแล้ว มันก็เข้าสู่ร่างเพศหญิง

ผู้หญิงเมื่อถึง "จุดสุดยอด" ผมไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะไม่สามารถฝึก "กุณฑาลิณี" แบบเพศหญิงได้ เนื่องจากมี อวัยวะเพศชนิดเดียว แต่เคยได้ยินเหมือนกันว่า มีเพศหญิงบางคน ดูดพลังกุณฑาลิณีจากชายที่เธอมีเพศสัมพันธ์ด้วย

จริงๆ แล้ว จะดูดหรือปล่อยพลังกุณฑาลิณีระหว่างมีเพสัมพันธ์ก็ได้ แต่การกำหนดจิต "ดูดกุณฑาลิณี" สำหรับเพศชายแล้ว จะก่อให้เกิด อาการเป็น "เกย์" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำต้องอาศัยเพศชาย ด้วยกันในการกระตุ้นพลังกุณฑาลิณีลักษณะนั้น

ส่วนเพศหญิง หากฝึกกุลฑาลิณีโดยไม่อาจควบคุมพลังนี้ได้ จะทำตัว เหมือนโสเภณีได้ในที่สุด (หากฝึกด้วยวิธีใช้ หญิง ชาย กระตุ้นแบบนี้) ดังนั้น การฝึกกุลฑาลิณีด้วยการใช้เพศสัมพันธ์กระตุ้นพลัง จึงมีปัญหา มากมาย ปกติจะใช้วิธีอื่นกระต้น

ในทิเบต พระลามะ จะกระตุ้น "กุณฑาลิณีชาย" ด้วยการเข้าไปอยู่ในที่ หนาวมาก พระลามะบางรูปนั่งสมาธิในน้ำ ในหิมะ เพื่อกระตุ้นกุลฑาลิณี พลังกุณฑาลิณีก็จะกลายเป็นพลังร้อนและอุ่นคลายหนาวได้

อย่าลืมว่า "กุณฑาลิณี" คือ งูสองตัว งูตัวหนึ่งเป็น "งูเพศชาย" ส่วน งูอีกตัวหนึ่งเป็น "งูเพศหญิง" ดังนั้น คนที่ฝึกกุลฑาลิณี สำหรับเพศ ชายและหญิงแล้ว จะพบว่าแตกต่างกัน เพราะงู (เป็นสัญญลักษณ์) นี้มีอยู่ด้วยกันสองตัว

การควบคุม "งูสองตัวนี้" ก็ต่างกัน

กุณฑาลิณีตื่นขึ้นทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ถึง "จุดสุดยอด"

กุณฑาลิณีอยู่ในร่างกาย เพราะธรรมชาติสร้างมาให้มีหน้าที่หนึ่งอย่างนี้ คือการสืบพันธุ์ พลังลมปราณจากเจ็ดจักระในร่างกาย มีหน้าที่ต่างกัน กุณฑาลิณีตื่นขึ้นทุกครั้งเมื่อถึงจุดสุดยอด

แต่ก่อนจะตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ มันจะค่อยๆ ปลดปล่อยพลังออกมาทีละน้อย โดยไม่เราไม่รู้ตัวก่อน ในช่วงที่มีเพศสัมพันธุ์ หากไม่ถึง "จุดสุดยอด" แล้ว เพศหญิงจะมีพลังกุลฑาลิณีค้างอยู่ในสมอง ทำให้เป็นคนหงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ สามีก็จะรู้สึกว่าทำไมภรรยาตนเองขี้หงุดหงิด (เธอคงไม่กล้าบอกสามีหรอกนะ ว่าสามีไม่ทำให้เธอถึงจุดสุดยอดได้ เป็นเหตุให้เธอหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ)

เพราะกุลฑาลิณีค้างอยู่บางส่วนไม่มากนักที่สมอง เหมือนคนอารมณ์ค้าง เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วอารมณ์ค้างแบบนี้บ่อยๆ "จะเสียสุขภาพทั้งกายและจิต"

ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เข้าใจพลังกุณฑาลิณีจึงเป็นผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจอย่างมากมาย โดยที่เราไม่รู้ตัว ว่าทำไมหนอ เราจึงขี้หงุดหงิด เรา มักมากในกาม (ฝ่ายชายที่ควบคุมกุณฑาลิณีไม่ได้) ฯลฯ

ชายที่ปลดปล่อยกุณฑาลิณีแล้วควบคุมกุณฑาลิณีไม่ได้ จะประสบปัญหา การมักมากในกาม จิตจะอยากได้ อยากเอามา เพราะจิตสูญเสียพลังนี้ไป ขณะร่วมเพศทุกครั้ง โดยที่ตนไม่รู้ตัว จิตจึงอยากได้เอามาเป็นเจ้าของ แล้วควบคุมอารมณ์เพศตนเองไม่ได้ เป็น "คาสโนว่า" และมีปัญหาด้าน สุขภาพร่างกายและจิตใจในภายหลังอย่างยิ่งยวด

กุลฑาลิณีตื่นเต็มที่ออกทางจักระหนึ่งด้านหน้าเมื่อหลั่งน้ำกามทุกครั้ง ทำให้เพศชายสูญเสียพลังมากมาย ในกลุ่มชายรักร่วมเพศบางคน ได้ กระตุ้นกุณฑาลิณีแบบเพศหญิงขึ้นมา แล้วดูดซับพลังกุณฑาลิณีของ อีกฝ่ายเข้าตัว ทำให้มีอารมณ์และบุคคลิกแปรปรวน เหมือน "ผู้หญิง"

กุณฑาลิณีดันขึ้นจักระที่เจ็ด (สมอง) ทุกครั้งที่มีการสะกดกลั้นการหลั่งน้ำกาม

ในเพศชาย หากมีการสะกัดกั้นการหลั่งน้ำกาม เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วกลั้นไว้ กุณฑาลิณีจะตื่นขึ้นเต็มที่ แล้วแทนที่จะออกทางจักระหนึ่งด้านหน้า (penis) กลับไหลย้อนขึ้นบนหัว ผู้ชายที่ทำการกลั้นแบบนี้จะรู้สึกได้ทันที ว่ามีอะไร บางอย่างที่มารวมที่ penis แล้วขึ้นไปที่หัวของตน บางครั้งเขาจะรู้สึก "มึน" เล็กน้อย จากนั้น เมื่อเขากลั้นไว้หลายๆ รอบ จะมึนหนักขึ้น มากขึ้นๆๆๆ

จนปวดหัวแบบโดนบีบแทบจะระเบิด เหมือนโดนอะไรชอนใชทั้งหัว แทบจะเป็นบ้า

นี่คือ "กุลฑาลิณี" ถูกดันขึ้นไปที่หัวโดยที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัว ทำมากๆ สมองก็จะเสื่อม ความจำจะเสื่อม และจะลืมๆ เบลอๆ ดังนี้ ผู้ชายที่กลั้นน้ำกาม ไว้เมื่อถึงจุดสุดยอด แต่ไม่เรียนรู้เรื่องการปลดปล่อยพลังกุลฑาลิณีจะมีปัญหา เช่นนี้ทุกราย (ผมก็เป็นมาแล้ว) เรียกว่ามีเพศสัมพันธ์มากไปหรือเปล่าจนเอ๋อ

ตราบเมื่อกุณฑาลิณีปลดปล่อยออกได้ทางใดทางหนึ่ง ความปวดจะหายไป กล่าวคือ หายกุณฑาลิณีตีย้อนขึ้นหัวแล้วออกไม่ได้ เมื่อถึงจุดสุดยอดก็จะไหล ย้อนกลับไปออกทางจักระหนึ่งด้านหน้าเองโดยธรรมชาติ (ทาง penis)

แต่หากผู้ฝึกกุณฑาลิณีเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และทะลวงจักระที่เจ็ดให้เปิดออกด้วย กุณฑาลิณีแล้ว จะส่งผลให้การฝึกลมปราณสายอื่นๆ ง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ติดขัด ไม่ต้องนั่งทะลวงชีพจรเส้นเล็กเส้นน้อยเป็น ๑๐ ปีแบบวิธีของเต๋า

เมื่อกุณฑาลิณีออกทางจักระที่เจ็ดได้ ยามถึงจุดสุดยอด "อวัยวะเพศจะหดตัว" นี่คือ อาการของการฝึก "กุณฑาลิณีแบบเพศชาย" ด้วยการใช้หยินหยางกระตุ้น

การฝึกกุลฑาลิณีจนสามารถควบคุมพลังได้

ระยะแรกจะมีปัญหามาก ทั้งร่างกายและจิตใจ ระยะต่อมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ราวกับว่าเราแก่ขึ้นๆๆๆ จนอายุ ๕๐ ไป ๖๐ ปี ทั้งด้านความคิด จิตใจ อารมณ์ และการมองโลก หน้าตาบางครั้งก็ตกใจว่าทำไม ตนเองดูแก่ลง (แต่ไม่ได้มีรอยเหี่ยวย่น มีหนวดจนดูเหมือนแก่)

จากนั้น เมื่อกุลฑาลิณีถูกปลดปล่อยทะลวงได้แล้ว จะเหมือน "ตายแล้วเกิดใหม่" จะรู้สึกกระชุ่มกระชวย เหมือนได้ร่างใหม่ เหมือนเฒ่าทารก ที่กลายเป็นเด็ก เหมือนเป็นเด็กแรกเกิดอีกครั้ง จะมีความสุขแบบ เด็กๆ มองโลกง่ายๆ ใสซื่อแบบเด็กๆ

และเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นกับร่างกายและจิตใจมากมาย

ข้อควรระวังในการฝึกกุลฑาลิณี

๑. หากเพศชายฝึกกุณฑาลิณีแบบหญิง จะกลายเป็น "เกย์" จำต้องฝึก กระตุ้น "งูให้ตรงเพศ" อย่าลืมว่า "กุณฑาลิณีคืองูสองตัว" แต่ต้องเลือก ใช้ให้เป็น เหมาะสมกับเพศของตน ฝึกผิดก็กลายเป็นขันที แบบ "ตงฟางปุ๊ป้าย"

๒. เพศหญิงหากฝึกกุณฑาลิณีด้วยการใช้หญิงหยาง หากมีคู่ฝึกหยินหยาง (คู่นอนหรือคู่รักที่ฝึกกุณฑาลิณีเหมือนกันและรักกันชั่วชีวิต) ก็ไม่มีปัญหา แต่หากอีกฝ่าย (ฝ่ายชาย) ไม่ฝึกด้วยแล้วตนเองฝึกไม่ทันสำเร็จ จะกลายเป็น "วิชชามาร" คือ "วิชชาโสเภณี" กลายเป็นหญิงที่มักมากในกาม แล้วดูดพลัง กุณฑาลิณีจากชายไม่เลือกหน้า จึงไม่ควรฝึกกุลฑาลิณีด้วยวิธีนี้ อันตรายมาก

๓. หากฝึกไปไม่ถึงสุดยอด แล้วค้างอยู่ช่วงใดช่วงหนึ่ง กุลฑาลิณีจะทำให้ ร่างกายจิตใจเปลี่ยนไป กลายเป็น "เฒ่าทารก" ได้ คือ มันไม่ย้อนกลับไป สู่รากฐาน ไม่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ไม่กลับสู่ความใสซื่อบริสุทธิ์เป็นเด็ก อีกคราว สภาพของเฒ่าทารก จะมีจิตใจแปรปรวนเดี๋ยวเหมือนเด็กเดี๋ยวเหมือน แก่ ทั้งร่างกายและจิตใจ จนกว่าจะพ้นระยะนี้ไป คือ ฝึกสำเร็จเท่านั้นจึงหายได้

๔. หากฝึกช่วงเด็กเกินไป จะเหมือนกักอายุและการเติบโตของตนเอง เหมือน "วิชชากุมาร" เป็นเด็กไปตลอดเวลา คนอื่นเห็นเราเขาคิดว่าเราอายุต่ำกว่าจริง ประมาณ ๑๐ ปี จึงไม่ควรฝึกในวัยเด็กมากจนเกินไป เพราะกุณฑาลิณีควบคุมชีวิต การเติบโตของร่างกายและจิตใจทั้งหมด จึงอันตรายมากหากฝึกไม่สำเร็จ

เมื่อฝึกกุณฑาลิณีสำเร็จแล้วควรทำอย่างไร?

เมื่อทะลวงเจ็ดจักระด้วยกุลฑาลิณีสำเร็จแล้ว จะเข้าใจตนเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจเรื่องกามมากขึ้น และเป็นอิสระจากกาม (มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ขอโสดดีก่า) ปกติ การเคลื่อน "พลังกุณฑาลิณี" แต่ละครั้ง ยากในการกระตุ้น เพราะบางคน ต้องเข้าไปนั่งในที่หนาวมากๆ มันจึงจะตื่น บางคนต้องดูภาพโป๊มากมายก่าย กอง (เพราะเริ่มไม่รู้สึกกะกามแล้ว) ดังนั้น เมื่อฝึกสำเร็จแล้ว บางท่านกลับ เรียกใช้ยากเหมือนเดิม แต่ทะลวง และควบคุมง่าย นอกจากนี้ ยังยากตอนเก็บ กลับคืนจักระที่หนึ่ง หรือ ยากในการระบายออกทางจักระเจ็ดอีกด้วย หากมีการ คั่งค้างของพลัง จะเกิดปัญหากับร่างกายและจิตใจมากมาย

ดังนี้ เมื่อฝึกพลังนี้เร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินลมปราณกุลฑาลิณีอีก

ให้เดินลมปราณสายอื่นๆ แทนจะดี และปลอดภัยกว่า เรียกว่าได้ปลดปล่อย สำเร็จแล้ว ทะลวงสำเร็จแล้ว กรุยทางแล้ว เปิดให้ฝึกพลังปราณสายอื่นต่อไป

ให้ต่อวิชชาลมปราณไปสายอื่น เช่น

๑. ต่อกุณฑาลิณีด้วยพลังจักรวาล

เมื่อเปิดจักระได้หมด ทะลวงได้หมด เปิดรับพลังจักระวาลทางจักระเจ็ด แล้วให้ไหลลงมาอาบร่าง จะได้ผลดีกว่าใช้พลังกุณฑาลิณีมากมายนัก ปลอดภัย คุ้มครองปกป้องเรา รักษาเรา ทั้งร่างกายและจิตใจ

๒. ต่อกุณฑาลิณีด้วยพลังปราณหยินหยาง ฟ้า-ดิน

กุณฑาลิณีที่ฝึกด้วยการกระตุ้นอารมณ์เพศนี้ จัดเป็น "หยิน หยาง" ในตัว อยู่แล้ว เมื่อเปิดจักระในร่างกายได้ทั้งหมด ก็ต่อด้วยปราณสายเต๋าขั้นสูง ไปเลย ไม่ต้องใช้ของเดิมอีก เพราะผ่านด่านแล้ว ให้ดึงลมปราณ "หยิน" จากพื้นดิน (นั่งบนพื้นที่เย็นๆ) จินตนาการ ดึงดูดพลังเย็นนั้น เข้าร่างกาย จากท่อนล่างขึ้นท่อนบน แล้วพุ่งเป็นน้ำพุ ให้ย้อนลงมาอาบร่าง (ขาย้อน ลงมาเป็นปราณ "หยาง")

หรือต่อด้วยวิชชาลมปราณธรรมจักรก็ได้

เคล็ดพลังจักรวาล (กุณฑาลิณีต่อจักรวาล)

สำหรับผู้ที่ฝึกผ่านกุณฑาลิณีแล้ว จักระต่างๆ ก็ง่ายดายขึ้น จึงไม่ต้องนับ จากศูนย์ใหม่ ต่อพลังจักรวาลด้วยเคล็ดลัดสั้นง่าย

คือ นั่งสมาธิกำหนดจิตว่ามีพลังบริสุทธิ์ไหลอาบทั้งร่าง จากจักระที่เจ็ด ลงมาทั่วทั้งตัว ไล่มาตามร่างกายส่วนต่างๆ ตามลำดับ อาศัยจักระต่างๆ ทั้งเจ็ดจักระเป็นจุด "ธงชัย" ที่มาร์กไว้ เวลากำหนดจิต เลื่อนดวงจิตลงมา

ที่สำคัญมาก คือ "จิตต้องบริสุทธิ์ใสซื่อไร้กิเลส" ตลอดเวลา จะสามารถสัมผัสพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ได้ ชัดขึ้น แรกๆ จะแยกแยะไม่ออก หลังๆ หากได้รับพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ชัดเจน จะกำหนดอารมณ์จับปราณ พลังจักรวาลได้ง่ายขึ้น แยกแยะปราณดีปราณเสียได้ และเลือกรับแต่พลัง จักรวาลที่บริสุทธิ์ ไม่เอาปราณด้านลบเข้าตัว

นั่งสมาธิท่าโยคะ แล้วกำหนดจิตระลึกถึงความบริสุทธิ์ดีงาม ให้เหมือนน้ำทิพย์ชะโลมร่างกายจากจักระเจ็ดลงมาจักระหนึ่ง หลายๆ รอบจะผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ สุขภาพกาย และจิตดีขึ้นมากมาย

เคล็ดพลังธรรมจักร (กุณฑาลิณีต่อธรรมจักร)

สำหรับผู้ได้กุณฑาลิณีสำเร็จแล้ว และแยกแยะพลังจักรวาล นำพลัง จักรวาลด้านดีมาสู่ร่างได้แล้ว ก็เข้าสู่ การควบคุมลมปราณอย่างเต็มที่ การควบคุมลมปราณที่ถูกต้อง สอดคล้องกับธรรมชาติ คือ การเคลื่อน เป็น "วงกลม" นี่คือ เคล็ดวิชชาลมปราณที่สอดคล้องกับลมปราณไทเก็ก เนื่องจากปรามาจารย์ด้านลมปราณสายต่างๆ ค้นพบสิ่งเดียวกัน

คือ ลมปราณจะหมุนสอดคล้องกับจักรวาล คือ หมุนวนรอบตัวเอง เหมือน โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ โลกหมุนรอบตัวเอง อิเล็คตรอนหมุนรอบนิวเคลียส

จะฝึกหมุน "จักร" เรียกว่า "ปราณธรรมจักร" (ในสายวิชชาพลังจักรวาลก็ หมุนปราณแบบนี้เช่นกัน) หมุนเป็นวงกลม หลายๆ รอบ ลมปราณจะตื่นตัวขึ้น แล้วแสดงพลังอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกาย เวลาเข้าสมาธิ หมุนไปทั้งร่าง เรียกว่า "สมาธิหมุน" เมื่อเข้าสู่สมาธิหมุนแล้ว ลมปราณที่ตื่นขึ้น หากไม่มี การควบคุม ไม่มีการเก็บเข้าที่ ไม่มีการใช้หรือปลดปล่อยให้หมด

ลมปราณธรรมจักรจะค้างในร่างกาย

แล้วเกิดการหมุนโดยไม่ตั้งใจ เช่น พระอาจารย์รัตน์ ได้วิชชานี้ฟื้นคืน เมื่อเดินไปอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหมุนขึ้นมาเฉยๆ จนต้องนั่งลงเข้าสมาธิอยู่ หลายครั้ง นี่เพราะลมปราณธรรมจักรไม่ได้รับการปลดปล่อย หรือเก็บ เข้าที่ หลังจากที่ได้รับการปลุกให้ตื่นแล้ว

ดังนี้ ผู้ฝึกสมาธิหมุน จึงมักเกิดการหมุนวนนอกเวลาสมาธิได้เสมอ ต้องระวัง

มีผู้รู้ท่านหนึ่ง แนะนำว่า ในเวลาใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือถูกพลังแฝง หรือถูกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากสิ่งใดๆ ก็ตามที่ได้ดูดพลังจากตัวเราไป

หรือถูกเจ้ากรรมนายเวรรุมดูดพลังไปด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ในขณะที่ถูกดูดขับพลังงานไปเมื่อใดที่รู้ตัวว่ากำลังจะหมดพลัง มีความอ่อนล้าแล้ว โดยตัวเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกคนจะมีพลังเพิ่มได้มาก ขึ้น โดยให้ทำดังนี้

1. นั่งในท่าสบาย หรือนั่งขัดสมาธิก็ได้ โดยให้มือทั้งสองประสานสอดนิ้วมือเข้า หากัน อุ้งมือไม่ติดกัน หงายมือ เหมือนรองรับน้ำใส่อุ้งมือ โดยหายใจเข้าออก ยาวๆ ลึกๆ เข้าออกทางจมูก แล้วให้ลมหายใจเข้า วิ่งเข้าที่จมูก แล้ววิ่งไปที่จักระ 6 – 7 – 5 – 4 – 3 – 2 และไปหยุดที่จักระ 1 แช่นิ่งสักครู่ ที่จักระ 1 จากนั้น หายใจออกทางจมูก หรือทางปากก็ได้ ยาวๆ พยายามให้ลมหายใจเข้า ออกนาทีละเพียง 5 - 6 ครั้งก็พอ โดยทำ 3 ครั้งติดกัน

2. ท่าที่สองเรียกว่า ท่าโอริง มือซ้าย - ใช้นิ้วชี้แตะนิ้วโป้ง ส่วนอีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางไว้ที่ขาซ้าย มือขวา - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างขวา การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก

3. ในกรณีมีปัญหาที่พลังปั่นป่วน ต้องการปลดปล่อยพลัง มือขวา - นิ้วชี้แตะโป้ง อีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางแตะที่ขาขวา มือซ้าย - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างซ้าย การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ สารชมรมศาสนาและการกุศล เรื่องที่ 462...เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ หน้า 2 จาก 2 มงคล กริชติทายาวุธ ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

4. วิธีนั่งสมาธิที่ต้องการเพิ่มพลัง มือทั้งสองต้องประสานกัน จะต้องให้นิ้วมืออื่นๆ สอดกัน โดยให้ นิ้วโป้งชนกัน (นิ้วโป้ง เป็นธาตุไฟ เป็นธาตุที่ช่วยก่อให้มีฤทธิ์เร็ว หรือเรียกพลังกลับคืน ได้เร็ว เป็นเตโชกสิณอึกรูปแบบหนึ่ง การฝึกปรือในสายนี้ จะมีความร้อนเกิดขึ้น อารมณ์ อาจร้อนมากขึ้น อาจฉุนเฉียว โกรธง่ายขึ้น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะเป็นผลทีมักจะ ติดตามมาเป็นปกติ) ภาพรวมการหมุน จักระของเรา ตรงจักระ ๑ หมุนดีแล้วแต่ว่าอาจร้อนเล็กน้อย จักระที่ท้องก็หมุนๆวันอยู่ภายใน ส่วนตรงหน้าอกก็เรื่องหมุน แต่ความรู้สึกเบาๆไม่ชัดเหมือนที่ท้อง ตรงหน้าฝากก็เริ่มรู้สึก ชินแล้วและวงขยายของหน้าฝากก็ขยายกว้างมากขึ้นเลยหน้าตา เราได้แล้วจะยังคงมีที่ชาๆหน่อยก็บริเวณริมผีปากบนแค่นั้น โดยรวมๆก็ถือว่าไม่มีอะไรครับ.. ส่วนหลักการทั้งหมดรวมๆเป็นหลักการค่อนดีครับ สามารถ ใช้ได้ปกติทั่วไปครับ...แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีแบบเห็นความ แตกต่างชัดเจนนะครับ..ในหลักการที่ ๑ ที่นำมานั้นให้เปลี่ยน ระบบหายใจผ่านแนวแกนของกระดูกสันหลังด้วยครับ.. โดยให้หายใจเข้าก่อนจนท้องพอง แล้วดันลมหายใจผ่านจักระ ๑ ย้อนมาตามแนวกระดูกสันหลังจนขึ้นจักระ ๗ ก่อนแล้วค่อยออกจมูกครับ .. ส่วนวิธีการที่ ๒ และ ๓ ถ้าทำแล้ว ต่อไปกลัวจะเกิดเหตุการอย่างนั้น ขึ้นอีก ให้หงายมือทั้งสองข้างบนหน้าตัก โดยที่ข้างหนึ่งให้นิ้วกลางมาแตะ นิ้วโป้ และมืออีกข้างหนึ่งให้นิ้วนาง มาแตะที่นิ้วโป้..วิธีการนี้ก็จะเป็นการ รับและถ่ายเทพลังงานส่วนเกินต่างๆออกจากร่างกายได้อัตโนมัติเช่นกันครับ.. ส่วนวิธีการที่ ๔ นั้นส่วนตัวไม่แนะนำให้ทำนะครับ...เพราะว่ามันจะไปกระตุ้น ให้จิตเกิดการหมุนตัวแล้วไปสร้างประจุไฟฟ้าจนเกิดความร้อน เป็นผลทำให้เกิดพลังงานคล้ายๆกสิณไฟภาคบังคับให้เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ได้เกิดจากการที่ตัวจิตได้ฝึกฝนจนจิตมีกำลัง จิตและสร้างขึ้นมาเป็นพลังงานกสิณได้จริงๆครับ ซึ่งในอนาคตแล้วจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีครับ..เพราะทำนานๆเข้า จะไปปิดกั้นเรื่องการสร้างเมตตาที่ออกจากจิตเราด้วยครับ. ให้เปลี่ยนเป็นหงายฝ่ามือออกทั้งสองข้าง และทำให้เวลาที่มีพระอาทิตย์ขึ้น แล้วภานา โฮม มีณี ปัทเม ฮูม แรกจะจิ๊ดๆที่ผ่ามือก่อน พอชำนาญจะเกิด ลมหมุนบนฝ่ามือได้ และพอชำนาญมากกว่านี้ ก็จะสามารถดึงพลังงาน จากพระอาทิตย์ตรงนี้ ให้มาล้างจักระที่ ๗ ถึง จักระที่ ๑ ได้เองก็จะลด อาการปั่นปวนของจักระที่เกิดในกรณีที่ ๓ ที่น้องนิวนำมาลงได้เองครับ. และเป็นการเสริมเรื่องรักษาร่างกาย ของเราได้โดยตรงและเสริมภูมิป้องกันจากการถูกพลังงานภายนอก ต่างๆที่มารบกวนเราได้ด้วยครับ..ถ้าทำตอนกลางคือที่มีพระจันทร์ ก็จะเสริมเรื่องสมาธิและเสริมเรื่องการรักษาสภาพจิตใจให้สงบแล้วขึ้น ซึ่งไม่ว่าตอนไหนให้เราหยุดถ้ารู้สึกว่าร้อนแสดงว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งถ้าเราทำได้ตรงนี้ข้อดีคือ จะใช้เป็นเครื่องตรวจสอบระดับเมตตาในจิตเราได้ด้วยครับ.. และขอฝากคำเตือนไว้เป็นข้อคิดสะกิดใจเล็กน้อยครับ เสือเฒ่ามีวิชาชอบแปลงตัวเป็นฤาษีหรือไม่ก็นักพรตหรือชีประขาว แต่พอเราหลงกลไปแล้ว ก็จะกลายเป็นเสือและจับเรากินครับ..

อ้างอิงจากเวบพลังจิต

เตรียมตัวสำหรับการตื่นของพลังกุณฑลินี