ลมปราณ
|
|
ood
Sergeant
Posts: 28
Offline
| Thursday, 2014-03-27, 8:13 AM
ขอขอบคุณ แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.mysteriousclub.com/discuz....age%3D1
การฝึกลมปราณในระดับพื้นฐาน
ใครที่ชอบอ่านหนังสือหรือดูหนังประเภทนิยายกำลังภายใน บางคนคงคิดว่าเป็นเรื่องโม้ แต่บางคนคงเชื่อว่า "ศาสตร์เร้นลับเช่นนี้ต้องมีจริงแน่ๆ" เมื่อก่อน ตนเองพยายามเสาะแสวงหาตำราประเภทนี้เป็นภาษาไทย กลับหาไม่พบ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นคนจีนในเมือง
ไทยส่วนใหญ่จะเก็บวิชาพวกนี้เอาไว้เป็นความลับ แต่โชคเข้าข้างตัวเอง นั่นก็คือ ชาวจีนและญี่ปุ่นโพ้นทะเล มีแนวคิดที่ว่า ศาสตร์เร้นลับประเภทนี้ เมื่อสมัยก่อนต้องปิดบัง เนื่องจากผู้ที่ได้ความรู้ไป สามารถกลายเป็นเจ้ายุทธจักร์ได้ และหากเป็นผู้ไร้คุณธรรมแล้วด้วยละก็ จะสร้าง
ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้เป็นอย่างมาก แต่ในช่วงหลังๆนี้ชาวจีนและญี่ปุ่นเหล่านั้น ต่างก็ตระหนักดีว่า "วรยุทธ์โบราณ ไม่สามารถต้านทานอาวุธปืนหรืออาวุธที่ร้ายแรงสมัยใหม่อย่างอื่นได้" ดังนั้นพวกเขาจึง นำศาสตร์โบราณเหล่านี้ออกมาเผยแพร่โดยการเปิดสำนักสอน หรือ
เขียนตำราไว้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งบ่อยครั้งที่ความรู้ในเรื่องศาสตร์เหล่านี้ สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ อีกทั้งยังนำมาใช้ปรับปรุงสุขภาพ และคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยได้เช่นกัน
หลักการสำคัญในการฝึกลมปราณ (สาระสำคัญของวิชา) พอที่จะสรุปได้ 4 ประการคือ
1. ตั้งสมาธิอยู่ที่จุด dantian (ภาษาจีนกลาง) หรือ tanden (ภาษาญึ่ปุ่น)
2. ส่ง qi (ภาษาจีนกลาง) หรือ ki (ภาษาญี่ปุ่น) (พลังลมปราณ) ให้แพร่กระจายออกไปไกลสุดสายตา และครอบคลุมจักรวาล
3. ผ่อนคลาย (ร่างกายและจิตใจ) ให้มากที่สุด
ใครที่ชอบอ่านหนังสือหรือดูหนังประเภทนิยายกำลังภายใน บางคนคงคิดว่าเป็นเรื่องโม้ แต่บางคนคงเชื่อว่า "ศาสตร์เร้นลับเช่นนี้ต้องมีจริงแน่ๆ" เมื่อก่อน ตนเองพยายามเสาะแสวงหาตำราประเภทนี้เป็นภาษาไทย กลับหาไม่พบ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นคนจีนในเมือง
ไทยส่วนใหญ่จะเก็บวิชาพวกนี้เอาไว้เป็นความลับ แต่โชคเข้าข้างตัวเอง นั่นก็คือ ชาวจีนและญี่ปุ่นโพ้นทะเล มีแนวคิดที่ว่า ศาสตร์เร้นลับประเภทนี้ เมื่อสมัยก่อนต้องปิดบัง เนื่องจากผู้ที่ได้ความรู้ไป สามารถกลายเป็นเจ้ายุทธจักร์ได้ และหากเป็นผู้ไร้คุณธรรมแล้วด้วยละก็ จะสร้าง
ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้เป็นอย่างมาก แต่ในช่วงหลังๆนี้ชาวจีนและญี่ปุ่นเหล่านั้น ต่างก็ตระหนักดีว่า "วรยุทธ์โบราณ ไม่สามารถต้านทานอาวุธปืนหรืออาวุธที่ร้ายแรงสมัยใหม่อย่างอื่นได้" ดังนั้นพวกเขาจึง นำศาสตร์โบราณเหล่านี้ออกมาเผยแพร่โดยการเปิดสำนักสอน หรือ
เขียนตำราไว้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งบ่อยครั้งที่ความรู้ในเรื่องศาสตร์เหล่านี้ สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ อีกทั้งยังนำมาใช้ปรับปรุงสุขภาพ และคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยได้เช่นกัน
หลักการสำคัญในการฝึกลมปราณ (สาระสำคัญของวิชา) พอที่จะสรุปได้ 4 ประการคือ
1. ตั้งสมาธิอยู่ที่จุด dantian (ภาษาจีนกลาง) หรือ tanden (ภาษาญึ่ปุ่น) 2. ส่ง qi (ภาษาจีนกลาง) หรือ ki (ภาษาญี่ปุ่น) (พลังลมปราณ) ให้แพร่กระจายออกไปไกลสุดสายตา และครอบคลุมจักรวาล การฝึกลมปราณในระดับพื้นฐาน
ใครที่ชอบอ่านหนังสือหรือดูหนังประเภทนิยายกำลังภายใน บางคนคงคิดว่าเป็นเรื่องโม้ แต่บางคนคงเชื่อว่า "ศาสตร์เร้นลับเช่นนี้ต้องมีจริงแน่ๆ" เมื่อก่อน ตนเองพยายามเสาะแสวงหาตำราประเภทนี้เป็นภาษาไทย กลับหาไม่พบ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นคนจีนในเมือง
ไทยส่วนใหญ่จะเก็บวิชาพวกนี้เอาไว้เป็นความลับ แต่โชคเข้าข้างตัวเอง นั่นก็คือ ชาวจีนและญี่ปุ่นโพ้นทะเล มีแนวคิดที่ว่า ศาสตร์เร้นลับประเภทนี้ เมื่อสมัยก่อนต้องปิดบัง เนื่องจากผู้ที่ได้ความรู้ไป สามารถกลายเป็นเจ้ายุทธจักร์ได้ และหากเป็นผู้ไร้คุณธรรมแล้วด้วยละก็ จะสร้าง
ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้เป็นอย่างมาก แต่ในช่วงหลังๆนี้ชาวจีนและญี่ปุ่นเหล่านั้น ต่างก็ตระหนักดีว่า "วรยุทธ์โบราณ ไม่สามารถต้านทานอาวุธปืนหรืออาวุธที่ร้ายแรงสมัยใหม่อย่างอื่นได้" ดังนั้นพวกเขาจึง นำศาสตร์โบราณเหล่านี้ออกมาเผยแพร่โดยการเปิดสำนักสอน หรือ
เขียนตำราไว้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งบ่อยครั้งที่ความรู้ในเรื่องศาสตร์เหล่านี้ สามารถนำมาใช้รักษาโรคได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ อีกทั้งยังนำมาใช้ปรับปรุงสุขภาพ และคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยได้เช่นกัน
หลักการสำคัญในการฝึกลมปราณ (สาระสำคัญของวิชา) พอที่จะสรุปได้ 4 ประการคือ
1. ตั้งสมาธิอยู่ที่จุด dantian (ภาษาจีนกลาง) หรือ tanden (ภาษาญึ่ปุ่น)
2. ส่ง qi (ภาษาจีนกลาง) หรือ ki (ภาษาญี่ปุ่น) (พลังลมปราณ) ให้แพร่กระจายออกไปไกลสุดสายตา และครอบคลุมจักรวาล
3. ผ่อนคลาย (ร่างกายและจิตใจ) ให้มากที่สุด
4. ทำให้น้ำหนักตัวที่ทุกจุด ให้ใฝ่หาที่ต่ำ
ในส่วนข้อ 4. ความเห็นผม ( เอกณัฏฐ์ ) น่าจะหมายถึง การถ่ายเทพลังงานในร่างกายจากจุดต่างๆ คืนสู่พื้นดิน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนพลังงานกับธรรมชาติ
4. ทำให้น้ำหนักตัวที่ทุกจุด ให้ใฝ่หาที่ต่ำ
ในส่วนข้อ 4. ความเห็นผม ( เอกณัฏฐ์ ) น่าจะหมายถึง การถ่ายเทพลังงานในร่างกายจากจุดต่างๆ คืนสู่พื้นดิน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนพลังงานกับธรรมชาติ
ก่อนที่จะเขียนต่อไป ก็ขอให้นิยามศัพท์บางคำก่อน
qi คืออะไร
คนจีนเรียกพลังชีวิตว่า “ชี่” จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า “ขี่” ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “ปราณ” (prana) ส่วนคนญี่ปุ่นเรียกพลังชีวิตว่า “ กิ” (ki) และในภาษากรีกเรียกว่า “ นูมา” (pneuma)
qi หรือลมปราณมีความละเอียดดุจใยไหม มีสภาพคล้ายของเหลว, ของไหลแก๊ส และมีคุณสมบัติในเชิงไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ศาสตร์การแทงเข็ม (acupuncture) เป็นการปรับเปลี่ยนดุลยภาพของ qi ในอวัยวะต่างๆ จึงรักษาโรคได้ โดยอาศัย The Law of the Five Elements (หลักการแห่งธาตุทั้ง 5) ใน Daoism (Taoism หรือลัทธิเต๋า)
qi คืออะไร
คนจีนเรียกพลังชีวิตว่า “ชี่” จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า “ขี่” ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “ปราณ” (prana) ส่วนคนญี่ปุ่นเรียกพลังชีวิตว่า “ กิ” (ki) และในภาษากรีกเรียกว่า “ นูมา” (pneuma)
ก่อนที่จะเขียนต่อไป ก็ขอให้นิยามศัพท์บางคำก่อน
qi คืออะไร
คนจีนเรียกพลังชีวิตว่า “ชี่” จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า “ขี่” ภาษาสันสกฤตใช้คำว่า “ปราณ” (prana) ส่วนคนญี่ปุ่นเรียกพลังชีวิตว่า “ กิ” (ki) และในภาษากรีกเรียกว่า “ นูมา” (pneuma)
qi หรือลมปราณมีความละเอียดดุจใยไหม มีสภาพคล้ายของเหลว, ของไหลแก๊ส และมีคุณสมบัติในเชิงไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ศาสตร์การแทงเข็ม (acupuncture) เป็นการปรับเปลี่ยนดุลยภาพของ qi ในอวัยวะต่างๆ จึงรักษาโรคได้ โดยอาศัย The Law of the Five Elements (หลักการแห่งธาตุทั้ง 5) ใน Daoism (Taoism หรือลัทธิเต๋า)
พลังชี่ทั้ง ๓
ในคัมภีร์อี้จิงเก่าแก่ของจีน กล่าวว่าคนเราสัมพันธ์กับชี่ 3 ประเภท หรือ พลังทั้ง 3 คือ พลังชี่ของฟ้าหรือสวรรค์ พลังชี่ของดินหรือของโลก และพลังชี่ของมนุษย์
1. พลังชี่ของฟ้าหรือชี่สวรรค์ คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนท้องฟ้าและในจักรวาล เช่น พลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังงานที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศทั้งหมด
2. พลังชี่ของดินหรือชี่ของโลก คือ พลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน ก้อนหิน ดินทราย สายน้ำ แร่ธาตุ ต้นไม้ และสัตว์ต่าง ๆ
3. พลังชี่ของมนุษย์ ความจริงชี่ของคน ก็จัดเป็นชี่ของโลกด้วยเช่นเดียวกับชี่ของสัตว์และต้นไม้ แต่เพราะมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมา เห็นว่าตนเองแตกต่างจากสัตว์และพืช
จึงแยกตัวเองออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะอย่างที่พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเพื่อสามารถศึกษาค้นคว้าให้เกิดชุดความรู้ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการบำบัดรักษาตัวเองด้วย
ชี่ก็คือชีวิต พลังชี่ก็คือพลังแห่งชีวิต ชี่คือสิ่งมีอยู่แล้วในร่างกายของเรา ต่อไปจะเรียกชี่ว่าปราณนะครับ
ตั้งแต่เกิดเมื่อมีพลังปราณจึงมีชีวิต เมื่อสิ้นชีวิตพลังปราณก็จะหายไป
เราจะแบ่งปราณในตัวเราออกเป็น3ชนิดด้วยกันคือ
เว่ยชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่นอกเส้นชีพจรหรือเส้นเลือดทำหน้าที่ในการบำรุงเลี้ยงร่างกายให้เกิดความอบอุ่นรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาจู่โจมร่างกายเรา
อิ๋งชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่ในเส้นชีพจรหรือเส้นเลือด ซึ่งก็คือระบบการไหลเวียนของเลือดนั่นเอง
จั้นฝู่จือชี่ - หมายถึงพลังปราณที่อยู่ในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งโดยเฉพาะ ทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานได้
ในคัมภีร์อี้จิงเก่าแก่ของจีน กล่าวว่าคนเราสัมพันธ์กับชี่ 3 ประเภท หรือ พลังทั้ง 3 คือ พลังชี่ของฟ้าหรือสวรรค์ พลังชี่ของดินหรือของโลก และพลังชี่ของมนุษย์
1. พลังชี่ของฟ้าหรือชี่สวรรค์ คือพลังธรรมชาติที่อยู่บนท้องฟ้าและในจักรวาล เช่น พลังจากดวงอาทิตย์ แรงดึงดูดจากดวงจันทร์และดวงดาว พลังงานที่เกิดจากลม พายุ สายฝน ก้อนเมฆ และอากาศทั้งหมด 2. พลังชี่ของดินหรือชี่ของโลก คือ พลังธรรมชาติที่อยู่บนโลก ทั้งบนดินและใต้ดิน ก้อนหิน ดินทราย สายน้ำ แร่ธาตุ ต้นไม้ และสัตว์ต่าง ๆ 3. พลังชี่ของมนุษย์ ความจริงชี่ของคน ก็จัดเป็นชี่ของโลกด้วยเช่นเดียวกับชี่ของสัตว์และต้นไม้ แต่เพราะมนุษย์แต่ไหนแต่ไรมา เห็นว่าตนเองแตกต่างจากสัตว์และพืช
จึงแยกตัวเองออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะอย่างที่พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเพื่อสามารถศึกษาค้นคว้าให้เกิดชุดความรู้ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการบำบัดรักษาตัวเองด้วย
ชี่ก็คือชีวิต พลังชี่ก็คือพลังแห่งชีวิต ชี่คือสิ่งมีอยู่แล้วในร่างกายของเรา ต่อไปจะเรียกชี่ว่าปราณนะครับ
ตั้งแต่เกิดเมื่อมีพลังปราณจึงมีชีวิต เมื่อสิ้นชีวิตพลังปราณก็จะหายไป
เราจะแบ่งปราณในตัวเราออกเป็น3ชนิดด้วยกันคือ
เว่ยชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่นอกเส้นชีพจรหรือเส้นเลือดทำหน้าที่ในการบำรุงเลี้ยงร่างกายให้เกิดความอบอุ่นรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาจู่โจมร่างกายเรา อิ๋งชี่ - หมายถึงปราณที่แล่นอยู่ในเส้นชีพจรหรือเส้นเลือด ซึ่งก็คือระบบการไหลเวียนของเลือดนั่นเอง จั้นฝู่จือชี่ - หมายถึงพลังปราณที่อยู่ในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งโดยเฉพาะ ทำให้อวัยวะนั้นๆทำงานได้
bh79
|
|
| |
ood
Sergeant
Posts: 28
Offline
| Thursday, 2014-03-27, 8:18 AM
ปราณเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ตามหลักวิชาการแพทย์จีนอธิบายว่าปราณในร่างกายเราเกิดขึ้นได้จาก ปัจจัยพื้นฐาน 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วน (อวัยวะผิดปรกติ ปราณส่วนนั้นก็บกพร่อง) 2. สารจำเป็นต่อร่างกายของเรา เช่นอาหาร น้ำ อากาศ หรือการพักผ่อนที่เพียงพอ อวัยวะใดบกพร่อง ปราณส่วนนั้นก็จะบกพร่องหากพลังปราณของอวัยวะลดลงจนถึงที่สุดเราก็จะป่วยตาย หากกินไม่พอนอนไม่พอพักผ่อนไม่พอ ปราณก็จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ หากถึงขีดสุดก็จะถึงแก่ความตายเช่นกัน
ถึงไม่ฝึกวรยุทธ แต่ถ้ากินอิ่มนอนหลับทำตัวเป็นคนไม่มีความเครียด ชี่หรือปราณในร่างกายก็ยังคงบริบูรณ์ ทำให้มีอายุยืนยาว หากฝึกวรยุทธไม่กินไม่นอนไม่ขับถ่าย พอถึงจุดๆหนึ่งก็ต้อง อดตายเหนื่อยตายเช่นกัน
"dantian" อ่านว่า "ตันเถียน" แปลว่า "ทุ่งนาที่เพาะปลูกยาอายุวัฒนะ" จุด dantian จะอยู่ประมาณ 1.3 (หนึ่งจุดสามนิ้ว) ใต้สะดือ (อาจารย์บางท่านก็ว่าอยู่ต่ำกว่านี้หรือสูงกว่านี้ จนสูงไปอยู่ระดับเดียวกับสะดือก็ว่าได้) แต่จากประสบการณ์ของตนเอง มันคือจุด center of
gravity หรือจุด CG ในร่างกายคนเรานั้นเอง มันจะอยู่สูงอยู่ต่ำแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางสรีระของแต่ละคน ดังนั้นวิธีหารจุด dantian ก็คือ ให้คิดว่า I am the center of the universe (ข้าพเจ้าเป็นศูนย์กลางของจักรวาล) และคิดว่า gravity (แรงโน้มถ่วงของโลก)
กระทำต่อ จุดที่อยู่ตรงกลางของร่างกายตนเอง ท่านก็จะหาจุด dantian ได้เจอในที่สุด
พูดง่ายๆคือ ตันเถียน คือจุดที่มีปริมาณชี่สะสมมากกว่าจุดอื่นๆ ในร่างกายมีด้วยกันทั้งหมด 3 สามจุดคือ
ตันเถียนบน - อยู่ในศรีษะบริเวณหน้าผากเหนือหว่างคิ้ว ตันเถียนกลาง - อยู่บริเวณหัวใจ ตันเถียนล่าง - อยู่ในท้องน้อย อยู่ต่ำกว่าสะดือ 3 นิ้วมือ บางครั้งจึงเจอ 2 นิ้วบ้าง 3 นิ้วบ้าง คาดว่าอันนึงเป็นนิ้วไม้บรรทัด อีกอันนึงเป็นนิ้วมือ เคยได้ยินมาว่าจริงๆแล้วในทางการแพทย์จีนหมายถึง 3 นิ้วมือผู้ป่วยเป็นตัววัด
ตันเถียนทั้งสามจุดเก็บพลังชี่ไว้ได้มากก็จริง แต่สองในสามแห่งไวต่อการเสียสมดุลย์มาก เช่น ถ้าตันเถียนบนไม่สมดุลย์จะทำให้เราสับสนหรือไม่ก็ปวดหัว ตันเถียนกลางเสียสมดุลย์ก็ทำให้เรามีปัญหาที่บริเวณทรวงอกและหัวใจได้เช่นกัน
[color=brown]ผมจึงแนะนำให้นำแผ่นซีดีภาวนา มาฝึกด้วยการใช้ฝ่ามือและจุดตรงท้องเป็นหลักจะรับพลังปราณได้ดี ... ส่วนจุดหน้าอก ต้องระมัดระวังสักหน่อย ( เอกณัฏฐ์ )
ดังนั้น จุดที่ฝึกเก็บปราณในชี่กง คือตันเถียนล่างเท่านั้น และถ้าพบในหนังสือทั่วไปว่าตันเถียน โดยไม่ระบุตำแหน่ง ให้เข้าใจว่าเป็นตันเถียนล่างเสมอ
การคั่งค้างของปราณ หรือ ฝึกปราณอย่างอื่นก็มีโอกาสคั่งค้างได้ ถ้าไม่มีการเก็บปราณในร่างกายให้ถูกต้องหลังฝึก[/color] ส่วนนี้น่าจะหมายถึง รับพลังปราณในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินร่างกายจะทนได้ ในสภาวะปัจจุบัน - เอกณัฏฐ์
ขอขอบคุณ แหล่งที่มาของข้อมูล http://www.mysteriousclub.com/discuz....age%3D1
bh79
|
|
| |
ood
Sergeant
Posts: 28
Offline
| Thursday, 2014-03-27, 8:19 AM
จุดรับพลังต่างๆในร่างกาย ซึ่งตรงกับศาสตร์ทางโยคะ พลังจักรวาล หรือ พลังแห่งจักระทั้งเจ็ด
ตันเถียนสูงหรือตันเถียนบน = ซ้าง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าผาก )
ตันเถียนกลาง = จง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าอก )
ตันเถียนล่าง = เสี้ย (เซี้ย) ตันเถียน ( จุดต่ำกว่าสะดือ 3 นิ้ว )
จุดกลางกระหม่อม = ไป่หุ้ย (จีนกลาง - ไป่ - 100) (แปะหวย = แต้จิ๋ว)
จุดตรงบริเวณเอวด้านหลังตำแหน่งตรงกับตันเถียนเรียกว่า มิ่งเหมิน
จุดทวารชีวิต....มิ่ง = ชีวิต, เหมิน = ประตูหรือทวาร) (แต้จิ๋วเรียก เหมี่ยมึ้ง)
จุดใต้ฝ่าเท้า = หย่งฉวน หรือย่งจั๊ว ในเสียงแต้จิ๋ว
จุดกลางฝ่ามือ = เล้ากง หรือ เหลากง
ตันเถียนของจีนหมายถึงจุดเก็บพลัง
จุดที่เก็บได้ดีที่สุด จะเป็นตันเถียนล่าง และกลาง
แต่จุดที่อยู่กลางหน้าผาก เป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับตาที่สาม
เป็นจุดที่ใช้ควบคุมพลัง (ไม่ใช่จุดเก็บพลัง)
ถ้าหากฝึกใช้จุดนี้เก็บพลัง (กลางศีรษะเก็บพลัง) ละก็
โรคภัย(ปวดหัว)แปลกๆ จะมาเยือนคุณแน่นอน
ตามหลักวิชายุทธแบ่งแยกร่างกายเป็น 3 ส่วน คือ จิง - ชี่ - เสิน สัมพันธ์กับตันเถียนทั้ง 3 จุด คือตันเถียน บน-กลาง-ล่าง
1. ตันเถียนบน สัมพันธ์กับเสิน หรือญาณหยั่งรู้ ก็คือระบบสมอง หรือจิตนึกคิดของเรา สังเกตว่าคนเราเวลาคิด หว่างคิ้วมักจะขมวด คนโบราณจับจุดนี้มาอธิบายว่าหว่างคิ้วคือจุดแห่งจิต หรือ ความนึกคิด ส่วนนี้สำคัญสุด หัวขาดก็ตาย สมองกระเทือนก็ตาย อย่างเบาก็คือพิการเสียสติ เสียระบบ จิตใจนึกคิดไป
2. ตันเถียนกลาง อยู่หน้าอก เป็นที่อยู่ของอวัยวะภายในที่สำคัญต่างๆ เช่นหัวใจ ม้าม ตับ ปอด กระเพาะ สัมพันธ์กับชี่ หรือพลังชีวิต เพราะร่างกายส่วนตันเถียนกลางนี้เองที่ทำหน้าที่ผลิตชี่หรือพลังชีวิต ถ้าอยู่ๆหัวใจขาด ปอดขาดไปก็เป็นอันว่าตายแน่นอน เพราะระบบผลิตชีวิตในร่าง กายเรามันไม่ครบวงจรแล้ว
3. ตันเถียนล่าง อยู่ที่ท้องน้อยต่ำกว่าสะดือ3นิ้วมือ คืออวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับระบบฮอโมน และสารบำรุงต่างๆ ที่เรียกว่า จิง สำหรับบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย เช่นไต หรือระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น ตันเถียนส่วนนี้ถือว่าสำคัญ น้อยที่สุด ดังจะเห็นว่า คนเราใตหายไปซักข้าง ถูกตอนระบบสืบพันธุ์ก็ยังพออยู่ไปได้ แต่ความสมดุลย์ของร่างกายก็จะเสียไปทันทีเช่นกัน
จิง ชี่ เสิน 3 สิ่งนี้เกี่ยวข้องเป็นวงจรต่อเนื่องกัน หากอันหนึ่งอันใดผิดพลาดล้มเหลวก็จะส่งผลไปยังที่อื่นด้วย (เช่นเมื่อป่วยใข้ หรือเหนื่อยอ่อน ระบบจิตใจก็จะผิดปรกติตามไปด้วย)
ตามหลักวิชายุทธกล่าวเป็นสูตรตายตัวเสมอว่า ฝึกจิงสร้างชี่ เปลี่ยนชี่เป็นเสิน
ก็คือการอธิบายกระบวนการทำงานของการออกกำลังกายนี่เอง สังเกตว่าปราณอยู่กับตันเถียนล่างเป็นอันดับแรกๆ เมื่อบริหารตันเถียนล่างก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าจิงหรือสารบำรุงร่างกายต่างๆที่ร่างกายผลิตขึ้น เมื่อมีจิงๆจึงถูกส่งไปตันเถียนกลางเพื่อบำรุงระบบผลิตชี่ในตัว
เมื่อพลังชีวิตสมบูรณ์ดี ระบบจิตใจ(เสิน)ก็แจ่มใจ โปรดโปร่งเกิดปัญญา เกิดพลังสร้างสรรค์ เกิดญาณหยั่งรู้ แล้วผลอันนี้ก็จะส่งผลไปยังตันเถียนล่างเพื่อสนับสนุนการผลิตจิงอีก เป็นวงจรอย่างนี้ที่เขาเรียกว่าวงจรสวรรค์น้อย(Mircrocosmic Orbit) วนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ดังนั้นโดยพื้นฐานการฝึกชี่กงก็คือการฝึกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายในส่วนตันเถียนล่างผลิตสารที่เรียกว่าจิงเพื่อเริ่มวงจรบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายนั่น เอง
ตันเถียนสูงหรือตันเถียนบน = ซ้าง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าผาก ) ตันเถียนกลาง = จง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าอก ) ตันเถียนล่าง = เสี้ย (เซี้ย) ตันเถียน ( จุดต่ำกว่าสะดือ 3 นิ้ว )
จุดกลางกระหม่อม = ไป่หุ้ย (จีนกลาง - ไป่ - 100) (แปะหวย = แต้จิ๋ว)
จุดตรงบริเวณเอวด้านหลังตำแหน่งตรงกับตันเถียนเรียกว่า มิ่งเหมิน จุดทวารชีวิต....มิ่ง = ชีวิต, เหมิน = ประตูหรือทวาร) (แต้จิ๋วเรียก เหมี่ยมึ้ง)
จุดใต้ฝ่าเท้า = หย่งฉวน หรือย่งจั๊ว ในเสียงแต้จิ๋ว
จุดกลางฝ่ามือ = เล้ากง หรือ เหลากง
ตันเถียนของจีนหมายถึงจุดเก็บพลัง จุดที่เก็บได้ดีที่สุด จะเป็นตันเถียนล่าง และกลาง
แต่จุดที่อยู่กลางหน้าผาก เป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับตาที่สาม เป็นจุดที่ใช้ควบคุมพลัง (ไม่ใช่จุดเก็บพลัง)
ถ้าหากฝึกใช้จุดนี้เก็บพลัง (กลางศีรษะเก็บพลัง) ละก็ โรคภัย(ปวดหัว)แปลกๆ จะมาเยือนคุณแน่นอน
ตามหลักวิชายุทธแบ่งแยกร่างกายเป็น 3 ส่วน คือ จิง - ชี่ - เสิน สัมพันธ์กับตันเถียนทั้ง 3 จุด คือตันเถียน บน-กลาง-ล่าง
1. ตันเถียนบน สัมพันธ์กับเสิน หรือญาณหยั่งรู้ ก็คือระบบสมอง หรือจิตนึกคิดของเรา สังเกตว่าคนเราเวลาคิด หว่างคิ้วมักจะขมวด คนโบราณจับจุดนี้มาอธิบายว่าหว่างคิ้วคือจุดแห่งจิต หรือ ความนึกคิด ส่วนนี้สำคัญสุด หัวขาดก็ตาย สมองกระเทือนก็ตาย อย่างเบาก็คือพิการเสียสติ เสียระบบ จิตใจนึกคิดไป
2. ตันเถียนกลาง อยู่หน้าอก เป็นที่อยู่ของอวัยวะภายในที่สำคัญต่างๆ เช่นหัวใจ ม้าม ตับ ปอด กระเพาะ สัมพันธ์กับชี่ หรือพลังชีวิต เพราะร่างกายส่วนตันเถียนกลางนี้เองที่ทำหน้าที่ผลิตชี่หรือพลังชีวิต ถ้าอยู่ๆหัวใจขาด ปอดขาดไปก็เป็นอันว่าตายแน่นอน เพราะระบบผลิตชีวิตในร่าง กายเรามันไม่ครบวงจรแล้ว
3. ตันเถียนล่าง อยู่ที่ท้องน้อยต่ำกว่าสะดือ3นิ้วมือ คืออวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับระบบฮอโมน และสารบำรุงต่างๆ ที่เรียกว่า จิง สำหรับบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย เช่นไต หรือระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น ตันเถียนส่วนนี้ถือว่าสำคัญ น้อยที่สุด ดังจะเห็นว่า คนเราใตหายไปซักข้าง ถูกตอนระบบสืบพันธุ์ก็ยังพออยู่ไปได้ แต่ความสมดุลย์ของร่างกายก็จะเสียไปทันทีเช่นกัน
จิง ชี่ เสิน 3 สิ่งนี้เกี่ยวข้องเป็นวงจรต่อเนื่องกัน หากอันหนึ่งอันใดผิดพลาดล้มเหลวก็จะส่งผลไปยังที่อื่นด้วย (เช่นเมื่อป่วยใข้ หรือเหนื่อยอ่อน ระบบจิตใจก็จะผิดปรกติตามไปด้วย)
ตามหลักวิชายุทธกล่าวเป็นสูตรตายตัวเสมอว่า ฝึกจิงสร้างชี่ เปลี่ยนชี่เป็นเสิน ก็คือการอธิบายกระบวนการทำงานของการออกกำลังกายนี่เอง สังเกตว่าปราณอยู่กับตันเถียนล่างเป็นอันดับแรกๆ เมื่อบริหารตันเถียนล่างก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าจิงหรือสารบำรุงร่างกายต่างๆที่ร่างกายผลิตขึ้น เมื่อมีจิงๆจึงถูกส่งไปตันเถียนกลางเพื่อบำรุงระบบผลิตชี่ในตัว
เมื่อพลังชีวิตสมบูรณ์ดี ระบบจิตใจ(เสิน)ก็แจ่มใจ โปรดโปร่งเกิดปัญญา เกิดพลังสร้างสรรค์ เกิดญาณหยั่งรู้ แล้วผลอันนี้ก็จะส่งผลไปยังตันเถียนล่างเพื่อสนับสนุนการผลิตจิงอีก เป็นวงจรอย่างนี้ที่เขาเรียกว่าวงจรสวรรค์น้อย(Mircrocosmic Orbit) วนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ดังนั้นโดยพื้นฐานการฝึกชี่กงก็คือการฝึกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายในส่วนตันเถียนล่างผลิตสารที่เรียกว่าจิงเพื่อเริ่มวงจรบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายนั่น เอง จุดรับพลังต่างๆในร่างกาย ซึ่งตรงกับศาสตร์ทางโยคะ พลังจักรวาล หรือ พลังแห่งจักระทั้งเจ็ด
ตันเถียนสูงหรือตันเถียนบน = ซ้าง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าผาก )
ตันเถียนกลาง = จง ตันเถียน ( จุดกลางหน้าอก )
ตันเถียนล่าง = เสี้ย (เซี้ย) ตันเถียน ( จุดต่ำกว่าสะดือ 3 นิ้ว )
จุดกลางกระหม่อม = ไป่หุ้ย (จีนกลาง - ไป่ - 100) (แปะหวย = แต้จิ๋ว)
จุดตรงบริเวณเอวด้านหลังตำแหน่งตรงกับตันเถียนเรียกว่า มิ่งเหมิน
จุดทวารชีวิต....มิ่ง = ชีวิต, เหมิน = ประตูหรือทวาร) (แต้จิ๋วเรียก เหมี่ยมึ้ง)
จุดใต้ฝ่าเท้า = หย่งฉวน หรือย่งจั๊ว ในเสียงแต้จิ๋ว
จุดกลางฝ่ามือ = เล้ากง หรือ เหลากง
ตันเถียนของจีนหมายถึงจุดเก็บพลัง
จุดที่เก็บได้ดีที่สุด จะเป็นตันเถียนล่าง และกลาง
แต่จุดที่อยู่กลางหน้าผาก เป็นจุดที่เกี่ยวข้องกับตาที่สาม
เป็นจุดที่ใช้ควบคุมพลัง (ไม่ใช่จุดเก็บพลัง)
ถ้าหากฝึกใช้จุดนี้เก็บพลัง (กลางศีรษะเก็บพลัง) ละก็
โรคภัย(ปวดหัว)แปลกๆ จะมาเยือนคุณแน่นอน
ตามหลักวิชายุทธแบ่งแยกร่างกายเป็น 3 ส่วน คือ จิง - ชี่ - เสิน สัมพันธ์กับตันเถียนทั้ง 3 จุด คือตันเถียน บน-กลาง-ล่าง
1. ตันเถียนบน สัมพันธ์กับเสิน หรือญาณหยั่งรู้ ก็คือระบบสมอง หรือจิตนึกคิดของเรา สังเกตว่าคนเราเวลาคิด หว่างคิ้วมักจะขมวด คนโบราณจับจุดนี้มาอธิบายว่าหว่างคิ้วคือจุดแห่งจิต หรือ ความนึกคิด ส่วนนี้สำคัญสุด หัวขาดก็ตาย สมองกระเทือนก็ตาย อย่างเบาก็คือพิการเสียสติ เสียระบบ จิตใจนึกคิดไป
2. ตันเถียนกลาง อยู่หน้าอก เป็นที่อยู่ของอวัยวะภายในที่สำคัญต่างๆ เช่นหัวใจ ม้าม ตับ ปอด กระเพาะ สัมพันธ์กับชี่ หรือพลังชีวิต เพราะร่างกายส่วนตันเถียนกลางนี้เองที่ทำหน้าที่ผลิตชี่หรือพลังชีวิต ถ้าอยู่ๆหัวใจขาด ปอดขาดไปก็เป็นอันว่าตายแน่นอน เพราะระบบผลิตชีวิตในร่าง กายเรามันไม่ครบวงจรแล้ว
3. ตันเถียนล่าง อยู่ที่ท้องน้อยต่ำกว่าสะดือ3นิ้วมือ คืออวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับระบบฮอโมน และสารบำรุงต่างๆ ที่เรียกว่า จิง สำหรับบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกาย เช่นไต หรือระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น ตันเถียนส่วนนี้ถือว่าสำคัญ น้อยที่สุด ดังจะเห็นว่า คนเราใตหายไปซักข้าง ถูกตอนระบบสืบพันธุ์ก็ยังพออยู่ไปได้ แต่ความสมดุลย์ของร่างกายก็จะเสียไปทันทีเช่นกัน
จิง ชี่ เสิน 3 สิ่งนี้เกี่ยวข้องเป็นวงจรต่อเนื่องกัน หากอันหนึ่งอันใดผิดพลาดล้มเหลวก็จะส่งผลไปยังที่อื่นด้วย (เช่นเมื่อป่วยใข้ หรือเหนื่อยอ่อน ระบบจิตใจก็จะผิดปรกติตามไปด้วย)
ตามหลักวิชายุทธกล่าวเป็นสูตรตายตัวเสมอว่า ฝึกจิงสร้างชี่ เปลี่ยนชี่เป็นเสิน
ก็คือการอธิบายกระบวนการทำงานของการออกกำลังกายนี่เอง สังเกตว่าปราณอยู่กับตันเถียนล่างเป็นอันดับแรกๆ เมื่อบริหารตันเถียนล่างก็จะได้สิ่งที่เรียกว่าจิงหรือสารบำรุงร่างกายต่างๆที่ร่างกายผลิตขึ้น เมื่อมีจิงๆจึงถูกส่งไปตันเถียนกลางเพื่อบำรุงระบบผลิตชี่ในตัว
เมื่อพลังชีวิตสมบูรณ์ดี ระบบจิตใจ(เสิน)ก็แจ่มใจ โปรดโปร่งเกิดปัญญา เกิดพลังสร้างสรรค์ เกิดญาณหยั่งรู้ แล้วผลอันนี้ก็จะส่งผลไปยังตันเถียนล่างเพื่อสนับสนุนการผลิตจิงอีก เป็นวงจรอย่างนี้ที่เขาเรียกว่าวงจรสวรรค์น้อย(Mircrocosmic Orbit) วนต่อเนื่องกันไปไม่รู้จบ ดังนั้นโดยพื้นฐานการฝึกชี่กงก็คือการฝึกเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายในส่วนตันเถียนล่างผลิตสารที่เรียกว่าจิงเพื่อเริ่มวงจรบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายนั่น เอง
ขอขอบคุณ แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.mysteriousclub.com/discuz....age%3D1 http://www.mysteriousclub.com/discuz/viewthread.php?tid=136&extra=page%3D1
bh79
|
|
| |